เมื่อเร็ว ๆ นี้ จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey) นักแสดงตลกหน้าเป็นระดับตำนาน ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ ด้วยการยอมกลับมารับบท Dr. Robotnik อีกครั้งใน ‘Sonic the Hedgehog 3’ ที่กำลังจะเข้าฉายเร็ว ๆ นี้ (แม้ว่าจะเป็นการกลับมาเพื่อเงินก็ตาม) แต่อีกบทบาทที่ไม่น่าจะได้เห็นกันในเร็ววันนี้แน่ ๆ ก็คือการรับบทเป็นกรินช์ (Grinch) ในหนังไลฟ์แอ็กชันต้อนรับคริสต์มาส ‘How the Grinch Stole Christmas’ (2000)
แคร์รีย์ได้เปิดเผยเรื่องนี้กับ ComicBook ถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับไปรับบทนักขโมยเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งข่าวดีก็คือ เขาเปรย ๆ ว่าอยากกลับมาสวมบทเจ้าตัวเขียวขี้โมโหนี้อีกครั้ง แต่มีเงื่อนไขสำคัญมาก ๆ ก็คือ เขาไม่ขอกลับไปนั่งแต่งหน้านาน ๆ เพื่อแปลงโฉมเป็นกรินช์เหมือนกับภาคแรกอีกเป็นอันขาด แต่ขอพึ่งพาเทคโนโลยี Motion Capture เหมือนที่เขาเคยใช้สวมบทเป็น เอเบเนเซอร์ สกรูจ ใน ‘A Christmas Carol’ (2009) มาแล้วแทน
“โอ้ พระเจ้าช่วย…ก็อย่างที่รู้น่ะนะครับ ถ้าเราหาวิธีสร้าง Grinch ขึ้นมาได้ ผมก็โอเคนะ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ตอนนั้นน่ะผมต้องแต่งหน้าหนามาก ๆ จนแทบจะหายใจไม่ออก มันเป็นกระบวนการที่ทรมานมาก ๆ เลย ตอนที่ทำ ผมจะพยายามคิดอยู่ในใจตลอดว่า ‘เรากำลังทำเพื่อเด็กนะ ทำเพื่อเด็ก ทำเพื่อเด็ก ๆ…’ และตอนนี้เรามีเทคโนโลยี Motion Capture และอะไรทำนองนั้นแล้ว ทำให้ผมมีอิสระที่จะทำอะไรอย่างอื่นได้ อะไรก็เป็นไปได้บนโลกใบนี้”
‘How the Grinch Stole Christmas’ เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากหนังสือภาพประกอบคำกลอนสำหรับเด็กเล่มแรกของด็อกเตอร์ซูสส์ (Dr. Seuss) กำกับโดย รอน ฮาวเวิร์ด (Ron Howard) เล่าเรื่องราวของ Grinch สิ่งมีชีวิตตัวสีเขียวขี้อิจฉาอารมณ์ร้าย ที่พยายามจะปลอมเป็นซานตาคลอสเพื่อขโมยวันคริสต์มาสไปจากชาวเมืองฮูวิลล์ (Whoville) แม้ตัวหนังโดดเด่นด้วยการแสดงลีลาจัดจ้านตามสไตล์ของแคร์รีย์ที่ถูกใจผู้ชมและเด็ก ๆ มากกว่านักวิจารณ์ จนสามารถทำรายได้ 345 ล้านเหรียญ รวมทั้งยังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 3 รางวัล คว้ารางวัลแต่งหน้ายอดเยี่ยม
แต่เบื้องหลังก็ต้องแลกมาด้วยความทรมานทรกรรมของทีมงาน เพราะแคร์รีย์ต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งในทุก ๆ เช้าตลอด 92 วันเพื่อแต่งหน้าและแปลงโฉมหัวจรดเท้า ใส่คอนแทกต์เลนส์สีเขียวที่ดึงดูดหิมะปลอมให้เข้าตา ติดอวัยวะเทียมด้วยกาว ทาด้วยสีเขียว ใส่ชุดที่มีขนทั่วตัว และต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการลบทุกอย่างออกหลังถ่ายเสร็จ นอกจากนี้ ยังเป็นฝันร้ายของทีมงานแต่งหน้าเอฟเฟกต์ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจนถึงขั้นประสาทกิน
คาซึฮิโระ สึจิ (Kazuhiro Tsuji) ช่างแต่งหน้าเอฟเฟกต์มืออาชีพระดับฮอลลีวูดที่เคยทำงานแต่งหน้าเอฟเฟกต์ให้กับหนังดังหลายเรื่อง ได้เปิดเผยกับ Vulture ถึงประสบการณ์การแปลงโฉมแคร์รีย์ให้กลายเป็น Grinch โดยเฉพาะประสบการณ์การร่วมงานกับนักแสดงตลกคนดังที่ขี้หงุดหงิดไม่ต่างจากกรินช์
“เมื่ออยู่ในกองถ่าย เขาทำตัวหยาบคายกับทุกคนเลยครับ และในช่วงเริ่มต้น เราไม่สามารถถ่ายกันจนเสร็จได้ หลังจากผ่านไป 2 สัปดาห์ เราถ่ายได้เพียงแค่ 3 วันตามคิวในตารางเท่านั้น เพราะอยู่ดี ๆ เขาก็หายตัวไป และพอกลับมาทุกอย่างก็เละเทะ เราไม่สามารถถ่ายทำอะไรกันต่อได้เลย”
“วันหนึ่ง ในรถเทรลเลอร์แต่งหน้า เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองกระจก ก่อนจะชี้ไปที่คางแล้วพูดว่า ‘สีนี้ไม่เห็นเหมือนกับเมื่อวานเลย’ ทั้งที่ผมก็ใช้สีของเดิมเหมือนเมื่อวาน เขาพูดว่า ‘แก้ซะ’ ผมก็โอเค แก้ให้ เป็นแบบนี้อยู่ทุกวัน ๆ”
สึจิเริ่มรู้สึกเหนื่อยใจ ทำให้เขาไปปรึกษากับช่างแต่งหน้าเอฟเฟกต์ ริก เบเกอร์ (Rick Baker) เขาจึงเสนอทางออกให้สึจิหายตัวไปสักพัก เพื่อให้แคร์รีย์มองเห็นความสำคัญของเขา จนผ่านไป 1 สัปดาห์ แคร์รีย์โทรหาเขา แต่สึจิไม่ยอมรับสายและไม่โทรกลับด้วย ทำให้ฮาวเวิร์ดตัดสินใจฝากข้อความเพื่อให้เขากลับมาทำงาน พร้อมให้คำสัญญาว่าแคร์รีย์จะปรับปรุงตัวเองใหม่
แคร์รีย์ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Graham Norton Show ว่า ในเวลานั้น ไบรอัน เกรเซอร์ (Brian Grazer) โปรดิวเซอร์ ต้องจ้างครูฝึกเจ้าหน้าที่ CIA เพื่อฝึกให้เขามีความอดทนมากขึ้น ครูฝึกได้แนะนำให้เขา ‘กินทุกอย่างที่ตาเห็น และถ้าเริ่มเครียดหรือเสียสติ ให้เปิดโทรทัศน์ เปลี่ยนรูปแบบชีวิตเดิม ๆ ให้ใครสักคนที่รู้จักมาตบหัวต่อหน้า หรือชกเข้าที่ขาของตัวเอง หรือไม่ก็สูบบุหรี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้’
สึจิเล่าต่อ “ผมยอมกลับไปด้วยเงื่อนไขข้อหนึ่งครับ ผมปรึกษากับเพื่อน ๆ พวกเขาบอกว่า ‘นายควรจะขอขึ้นค่าจ้างก่อนจะกลับไปนะ’ แต่ผมไม่อยากทำแบบนั้น มันดูไม่ค่อยดี และจากนั้นผมก็คิดออกว่า ทำไมไม่ให้พวกเขาช่วยเรื่องกรีนการ์ดล่ะ ?'”
ในที่สุดเขาก็ยอมกลับไปทำงานตามปกติ ส่วนแคร์รีย์ยอมปรับปรุงตัวเองตามวิธีการที่เจ้าหน้าที่ CIA แนะนำ หลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้น สึจิได้รับรางวัล BAFTA กรีนการ์ดของเขาได้รับอนุมัติหลังจากนั้น แต่นั่นก็เป็นเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตที่ทำให้เขาต้องเข้าพบกับจิตแพทย์อยู่บ่อยครั้ง ก่อนจะตัดสินใจออกจากฮอลลีวูด และผันตัวไปเป็นช่างปั้นรูปเหมือนบุคคลในเวลาต่อมา