ถ้าใครที่เเป็นแฟนตัวยงหนังของผู้กำกับรางวัลออสการ์ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) มักจะคุ้นเคยกับเหล่าบรรดานักแสดงขาประจำที่เคยปรากฏในหนังของโนแลนมากกว่า 1 เรื่อง แต่สิ่งที่แฟนหนังโนแลนตัวยงยังคาใจมาจนทุกวันนี้ก็คือ แม้หนังทริลเลอร์นีโอนัวร์ที่มีวิธีการเล่าเรื่องสุดแหวกแนวเรื่อง ‘Memento’ (2000) จะเป็นผลงานระดับสตูดิโอเรื่องแรกที่ส่งให้โนแลนเป็นที่รู้จักมากขึ้น
แต่นักแสดงคนแรกที่ร่วมงานกับเขาอย่าง กาย เพียร์ซ (Guy Pearce) กลับเป็นนักแสดงไม่กี่คนที่ไม่ได้กลับมาร่วมงานกับโนแลนซ้ำในผลงานเรื่องต่อมาอีกเลย ทั้งที่เขาเองก็ยังคงมีผลงานการแสดงอยู่เนือง ๆ เพียร์ซได้เปิดเผยเหตุผลครั้งแรกในบทสัมภาษณ์ของ Vanity Fair
“ผมกับโนแลนไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่ครับ แต่เขาเคยพูดถึงบทบาทต่าง ๆ กับผมอยู่ 2-3 ครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ Batman ภาคแรกก็คือ ‘Batman Begins’ (2005) และ ‘The Prestige’ (2006) แต่มีผู้บริหารคนหนึ่งที่ Warner Bros. บอกกับตัวแทนของผมแบบตรงไปตรงมาเลยว่า ‘ผมไม่ค่อยเข้าใจ กาย เพียร์ซ เท่าไหร่ ผมไม่มีวันจะเข้าใจ กาย เพียร์ซ ด้วย และผมก็จะไม่มีวันจ้าง กาย เพียร์ซ เด็ดขาด'”
“…คือจะว่าไปมันก็ดีอยู่หรอกที่ได้รู้เรื่องนี้ คือผมหมายความว่ามันก็แฟร์ดี เพราะมันก็มีนักแสดงบางคนที่ผมก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน แต่นั่นหมายความว่า ผมไม่มีทางที่จะได้ร่วมงานกับคริสอีกได้เลย”
‘Memento’ เป็นหนังเรื่องแรกที่โนแลนได้ร่วมงานกับ Warner Bros. และเป็นหนังในระดับสตูดิโอเรื่องแรกหลังจากผลงานหนังทุนต่ำ ‘Following’ (1998) โดยบทหนังเรื่องนี้เป็นผลงานที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้น ‘Memento Mori’ ที่เขียนโดยน้องชายของเขา โจนาธาน โนแลน (Jonathan Nolan) เขาได้เล่าโครงเรื่องสั้น ๆ ให้พี่ชายของเขาฟังครั้งแรกในปี 1997 ก่อนจะนำมาดัดแปลงเป็นบทหนัง
โดยได้เพียร์ซ นักแสดงจาก ‘L.A. Confidential’ (1997) หนังอาชญากรรมนีโอนัวร์ของสตูดิโอ Warner Bros. ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเวลานั้นมารับบทเป็นลีโอนาร์ด เชลบี ชายผู้มีปัญหาความจำระยะสั้น ที่ต้องสืบหาตัวฆาตกรผู้สังหารภรรยาอย่างโหดเหี้ยม จากเบาะแสต่าง ๆ ที่เขาบันทึกเอาไว้ด้วยตัวเอง
ความโดดเด่นของ ‘Memento’ ส่งผลให้โนแลนได้ทำงานกับ Warner Bros. มาโดยตลอด ตั้งแต่หนังทริลเลอร์จิตวิทยา ‘Insomnia’ (2002) ก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับไตรภาค ‘The Dark Knight’ รวมทั้ง ‘Inception’ (2010), ‘Interstellar’ (2014), ‘Dunkirk’ (2017) รวมทั้งการเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ ‘Man of Steel’ (2013)
ก่อนจะปิดฉากด้วยหนังจารกรรมสุดล้ำ ‘Tenet’ (2020) ที่สร้างความร้าวฉานจากนโยบายที่ต้องการนำหนังเรื่องนี้ฉายคู่ขนานทั้งในโรงหนังและสตรีมมิง ทำให้โนแลนที่ไม่เห็นด้วย ตัดสินใจตัดขาดกับบ้านเก่า และย้ายโปรเจกต์ ‘Oppenheimer’ (2023) ไปให้ Universal Pictures จัดจำหน่ายแทน แม้ภายหลังมีรายงานว่า Warner Bros. จะพยายามดึงตัวโนแลนกลับมาทำงานอีกครั้งด้วยการเสนอเช็กส่วนแบ่งรายได้หนัง ‘Tenet’ ด้วยเช็กจำนวนเงิน 7 หลัก แต่ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจให้เสด็จพ่อกลับคืนบ้านเก่าได้สำเร็จ
แม้ว่าไม่ได้ร่วมงานกันมานับกว่า 2 ทศวรรษ เพื่อย้ำถึงความรู้สึกแง่บวกที่เขายังคงมีกับโนแลน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความประทับใจในตัวของโนแลน และการทำงานในกองถ่าย ‘Memento’ ร่วมกับ แคร์รี-แอนน์ มอสส์ (Carrie-Anne Moss) เจ้าของบทนาตาลี และ โจ แพนโทเลียโน (Joe Pantoliano) เจ้าของบทเท็ดดี ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เขายังคงประทับใจเช่นกัน
“กับแคร์รี-แอนน์ มอสส์ เธอเป็นคนสนุกสนานมากครับ แต่โชคร้ายที่ผมขาดการติดต่อกับเธอไปแล้ว เธอมีอารมณ์ขันที่ดีมากเลยนะ แต่ก็ไม่มีใครสู้คริส โนแลนได้ เขาเป็นคนที่สติปัญญาเป็นเลิศมาก ส่วนผมกับแคร์รี-แอนน์ และ โจอี แพนส์ (Joey Pants – ฉายาของแพนโทเลียโน) เราร่วมงานกันสนุกสนานมากครับ”
เพียร์ซเล่าต่อไปอีกว่า เขาเองเกือบจะได้รับบทราซอัลกูล วายร้ายในคราบอาจารย์ของ บรูซ เวย์น ใน ‘Batman Begins’ ของโนแลน แต่ก็เป็นเพราะผู้บริหารคนเดิม ที่ทำให้เขาชวดบทบาทนี้ไปในที่สุด
“ผมคิดว่าเขาคงแค่ไม่เชื่อตัวผมในฐานะนักแสดงอะไรแบบนี้แหละครับ พวกเขาให้ผมบินไปที่ลอนดอน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับบท (ราซอัลกูล) ที่เลียม นีสัน (Liam Neeson) แสดง (ใน ‘Batman Begins’) แต่ผมก็คิดอยู่ พวกเขาคงตัดสินใจไปแล้วว่าผมคงไม่ได้รับบทนี้ตั้งแต่ตอนที่ผมขึ้นเครื่องบินแล้วล่ะ พอผมไปถึง คริสก็บอกผมว่า ‘เฮ้ นายอยากดูรถ Batmobile ไหม ? แล้วเดี๋ยวไปกินข้าวกัน'”
อย่างที่ทราบกันดีว่า ‘Oppenheimer’ กลายเป็นหนังแห่งปี 2023 ที่ทำรายได้และคำวิจารณ์งดงาม คว้ารางวัลออสการ์ถึง 7 รางวัล และโนแลนก็กำลังพัฒนาโปรเจกต์ที่ 2 ให้กับ Universal Pictures ที่มีกำหนดฉายในปี 2026 โดยได้นักแสดง A-List และนักแสดงขาประจำของโนแลนทั้ง แมตต์ เดมอน (Matt Damon), โรเบิร์ต แพททินสัน (Robert Pattinson) และ แอนน์ แฮททาเวย์ (Anne Hathaway) มาร่วมงานคับคั่ง
เพียร์ซกล่าวเพียงสั้น ๆ เพื่อย้ำว่า หากไม่มีอะไรขัดข้อง เขาเองก็ยังอยากกลับไปร่วมงานกับโนแลนอีกครั้งในรอบ 25 ปี ภายใต้ชายคาบ้านหลังใหม่
“ผมว่ามันก็น่าจะถึงเวลาแล้วแหละนะ…”