‘Kraven the Hunter’ อาจเป็นพรานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคอมิกของ DC แต่ในโลกภาพยนตร์นั้นกลับทำรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกอย่างน่าผิดหวัง เพียง 11 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 110 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ในจักรวาล ‘Spider-Man’ ของ Sony ที่ทำรายได้เปิดตัวน้อยที่สุด จากเดิมที่ ‘Madame Web’ (2024) ทำไว้ 15.3 ล้านเหรียญ
‘Kraven the Hunter’ นำแสดงโดย แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (Aaron Taylor-Johnson) จากฝีมือกำกับของ เจ. ซี. แชนเดอร์ (J.C. Chandor) จาก ‘Triple Frontier’ (2019) ซึ่งถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะได้เรต R แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยส่งเสริมภาพยนตร์เท่าไร และทำให้กลายเป็นวายร้ายคนที่ 3 ในจักรวาลนี้ ที่กำลังจะประสบความล้มเหลวด้านรายได้ ถัดจาก Morbius (2022) และ ‘Madame Web’ ที่ทำรายได้ทั่วโลก 167.5 ล้านเหรียญ (ทุนสร้าง 75 ล้านเหรียญ) และ 100.5 ล้านเหรียญ (ทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญ) ตามลำดับ
เดวิด เอ กรอสส์ (David A. Gross) จากบริษัทให้คำปรึกษา Franchise Entertainment Research ได้กล่าวว่า “แม้ว่า ‘Kraven the Hunter’ จะลดต้นทุนลงมาแล้วเมื่อเทียบกับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรหลายเรื่องที่ประสบความล้มเหลวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่ยังถือว่าสูงเกินไปเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้”
‘Kraven the Hunter’ ได้คะแนนจาก CinemaScore ไปในระดับ C และได้คะแนนบน Rotten Tomatoes ไปในระดับมะเขือเน่า เพียง 15% จากนักวิจารณ์ 101 คน
‘The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim’ ของ Warner Bros. ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 7 ในแฟรนไชส์ ‘The Lord of the Rings’ และเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องแรกของแฟรนไชส์นี้ ทำรายได้เปิดตัวเพียง 4.6 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 30 ล้านเหรียญ
ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้เล่าเรื่อง 183 ปี ก่อนเหตุการณ์ใน ‘The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring’ (2001) ของ ปีเตอร์ แจ็กสัน (Peter Jackson) โดยตัวแอนิเมชันนั้นได้รับไฟเขียวและถูกเร่งสร้างเพื่อให้ Warner Bros. และ New Line Cinema สามารถครองสิทธิ์ในการดัดแปลงวรรณกรรมต้นฉบับของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (J. R. R. Tolkien) ต่อไปได้ ในขณะนี้แจ็กสันและทีมงานได้เดินหน้าพัฒนาภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันใหม่อีก 2 เรื่อง สำหรับฉายตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป หนึ่งในนั้นคือ ‘The Lord of the Rings: The Hunt for Gollum’ ที่จะกำกับโดย แอนดี้ เซอร์คิส (Andy Serkis) ผู้รับบท Gollum ในไตรภาคต้นฉบับ
‘The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim’ ได้คะแนนจาก CinemaScore ไปในระดับ B และได้คะแนนวิจารณ์บน Rotten Tomatoes ไปอย่างหลากหลาย ทำให้คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 51% (ยังอยู่ในระดับมะเขือเน่า) จากนักวิจารณ์ 85 คน
ด้วยคู่แข่งที่เปิดตัวไม่แรงพอ ทำให้ ‘Moana 2’ สามารถครองอันดับที่ 1 บนบ็อกซ์ออฟฟิศสหรัฐฯ ได้เป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยเก็บเพิ่มไปอีก 26.6 ล้านเหรียญ ส่งผลให้รายได้รวมในสหรัฐฯ นั้นอยู่ที่ 337.5 ล้านเหรียญ และทำรายได้ทั่วโลกไปถึง 717 ล้านเหรียญ ขึ้นเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทั่วโลกสูงสุดลำดับที่ 4 ในปี 2024 รองจาก ‘Despicable Me 4’ (969.3 ล้านเหรียญ)
และ ‘Wicked’ ก็ยังคงอยู่ในอันดับที่ 2 ด้วยรายได้ 22.5 ล้านเหรียญ ส่งผลให้รายได้รวมในสหรัฐฯ นั้น อยู่ที่ 359 ล้านเหรียญ และทำรายได้ทั่วโลกไป 457 ล้านเหรียญ ขึ้นเป็นภาพยนตร์ดัดแปลงจากละครบรอดเวย์ที่ทำรายได้ทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลลำดับที่ 2 รองจาก ‘Mamma Mia’ (2008) ที่ทำไว้ 611 ล้านเหรียญ
5 อันดับ บ็อกซ์ออฟฟิศสหรัฐฯ (13 – 15 ธันวาคม 2024)
อันดับที่ | เรื่อง | รายได้ (ล้านเหรียญ) | รายได้รวมสหรัฐฯ (ล้านเหรียญ) | รายได้รวมทั่วโลก (ล้านเหรียญ) | สัปดาห์ที่ | ทุนสร้าง (ล้านเหรียญ) |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | Moana 2 | 26.6 | 337.5 | 717.0 | 3 | 150.0 |
2 | Wicked | 22.5 | 359.0 | 525.0 | 4 | 145.0 |
3 | Kraven the Hunter | 11.0 | 11.0 | 26.0 | 1 | 110.0 |
4 | Gladiator II | 7.8 | 145.9 | 398.5 | 4 | 250.0 |
5 | The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim | 4.6 | 4.6 | 10.3 | 1 | 30.0 |