ก่อนหน้านี้ จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey) ได้ให้สัมภาษณ์ขำ ๆ ถึงเหตุผลที่เขากลับมารับบท Dr. Robotnik อีกครั้งใน ‘Sonic the Hedgehog 3’ ที่กำลังจะเข้าฉายเร็ว ๆ นี้ว่าเป็นเพราะเหตุผลทางด้านการเงิน หลังจากนั้น แคร์รีย์ได้เปิดเผยว่า เขาอยากกลับไปรับบทกรินช์ (Grinch) เจ้าตัวเขียวใน ‘How the Grinch Stole Christmas’ (2000) อีกบทบาทที่เชื่อว่าหลายคนอยากเห็นเขากลับมาไม่แพ้กันก็คือ หน้ากากเทวดา ในภาคต่อของหนัง ‘The Mask’ (1994) ที่ส่งให้แคร์รีย์ดังสุดขีด ComicBook เลยถามแทนให้
“พระเจ้าช่วย ถ้าจะให้ผมรับบท ผมว่ามันต้องเป็นไอเดียที่ใช่จริง ๆ นั่นแหละครับ คือถ้าใครสักคนมีไอเดียที่เจ๋งพอ ผมอาจจะกลับไปเล่นก็ได้นะ…คือมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงินหรอก เรื่องเงินน่ะผมพูดเล่น…”
“แต่สิ่งที่คุณไม่รู้ก็คือ มันเป็นของที่บางทีเราก็ไม่รู้จะไปกะเกณฑ์กับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง เรื่องที่ผมบอกว่าผมจะเกษียณน่ะนะ แต่จริง ๆ แล้ว ผมคิดว่าผมพูดถึงเรื่องของการได้พักผ่อนแบบเต็มที่มากกว่า เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีไอเดียดี ๆ เข้ามา หรือมีทีมงานที่คุณทำงานด้วยแล้วสนุก อะไร ๆ มันก็ปรับเปลี่ยนกันได้”
‘The Mask’ ดัดแปลงจากคอมิกของสำนักพิมพ์ Dark Horse Comics กำกับโดย ชัค รัสเซลล์ (Chuck Russell) เล่าเรื่องของ สแตนลีย์ อิปคิส นายธนาคารนิสัยดีแต่ดวงซวย ที่ได้พบกับหน้ากากไม้เก่า ๆ แต่บังเอิญว่าหน้ากากนั้นคือหน้ากากโลกิ ที่สามารถเปลี่ยนให้เขากลายเป็น The Mask ฮีโรเจ้าเล่ห์ใบหน้าสีเขียว ที่มาพร้อมกับพลังพิเศษและลีลาสุดจะยียวน ซึ่งดัดแปลงจากคอมิกต้นฉบับที่มีเนื้อหารุนแรง ไอเดียตอนแรกของ ‘The Mask’ จึงมีความตั้งใจว่าจะเป็นหนังสยองขวัญมากกว่าหนังตลกสุดเพี้ยนแบบในหนัง
แต่ทิศทางของหนังเปลี่ยนไปก็เพราะว่ารัสเซลล์ได้เห็นการแสดงของแคร์รีย์ ก่อนที่ ‘Ace Ventura: Pet Detective’ (1994) ผลงานหนังเรื่องแรกของเขาจะออกฉายด้วยซ้ำ เขาจึงเริ่มค่อย ๆ ผสานคาแรกเตอร์หน้ากากเทวดา เข้ากับทางตลกหน้าเป็นเล่นใหญ่ในแบบฉบับของแคร์รีย์ การแสดงสีหน้าท่าทางของเขาชัดเสียจนฝ่ายวิชวลกราฟิกจาก Industrial Light & Magic (ILM) ที่ดูแล CGI คาแรกเตอร์ The Mask สามารถประหยัดงบไปได้ราว ๆ 1 ล้านเหรียญ เพราะไม่ต้องเหนื่อยปั้นสีหน้าท่าทางขึ้นมาใหม่
หนังเรื่องนี้ยังมีความสำคัญในฐานะหนังเรื่องแรกสุดของนางเอกสาว คาเมรอน ดิแอซ (Cameron Diaz) ที่ก่อนหน้านี้เคยมีผลงานการเป็นนางแบบและถ่ายโฆษณามาก่อน ซึ่งก็เป็นรัสเซลล์ที่เห็นและประทับใจเธอจากรูปถ่าย จึงได้เรียกมาออดิชัน ซึ่งเธอก็ทำได้แบบผ่านฉลุย ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะส่งให้เธอกลายเป็นนักแสดงสาวแห่งยุค 90s-2000s ในเวลาต่อมา
ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำรายได้มากกว่า 351 ล้านเหรียญ เป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดอันดับที่ 4 ของปี 1994 และเป็น 1 ใน 3 หนังแจ้งเกิดของแคร์รีย์ที่ออกฉายในปีเดียวกันทั้ง ‘Ace Ventura: Pet Detective’, ‘The Mask’ และ ‘Dumb and Dumber’ ส่งให้เขากลายเป็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์แบบเต็มตัว
จนกระทั่งในอีก 11 ปีต่อมา ก็มีการสร้างภาคต่อในชื่อ ‘Son of the Mask’ (2005) ซึ่งไม่มีทีมงานจากภาคแรกรวมทั้งแคร์รีย์กลับมาเลย หนังเรื่องนี้จึงล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์อย่างหนัก แทบไม่มีใครอยากจำว่านี่คือภาคต่อด้วยซ้ำ
หลังจากรับบทใน ‘Sonic the Hedgehog 2’ (2022) เสร็จสิ้น แคร์รีย์ได้พูดช็อกฮอลลีวูดว่าเขากำลังจะเตรียมตัวเกษียณจากการแสดง และในที่สุดเขาก็ยอมกลับมารับบทนี้อีกครั้งใน ‘Sonic the Hedgehog 3’ ซึ่งนอกจากเรื่องเงิน แคร์รีย์ยังอธิบายเสริม พร้อมกับตอบคำถามว่า หากจะมี ‘Sonic the Hedgehog 4’ อีก เขาจะกลับมารับบท Dr. Robotnik อีกไหม
“ผมเป็นคนชอบเสี่ยงดวงนะ กับงานอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้นี่แหละคือสิ่งที่ผมชอบ แต่จะรับบทไหม ผมไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เวลาผมพูดอะไรที่สุ่มเสี่ยงออกไป เดี๋ยวชะตาชีวิตมันจะทำให้ผมกลายเป็นคนขี้โกหกไปอีก เพราะฉะนั้น ใครมันจะไปรู้เรื่องนั้นล่ะ ?”