2024 นับเป็นปีที่สิ้นสุดจักรวาลภาคแยกของ Spider-Man ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Sony Pictures หรือ ‘Sony’s Spider-Man Universe’ (SSU) อย่างเป็นทางการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของจักรวาลนี้ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง มีรายงานว่า ‘Kraven the Hunter’ จะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของจักรวาล SSU ก่อนที่ Sony จะหันไปมุ่งเน้นการทำงานในโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Spider-Man เป็นหลักแทน

Variety ได้รายงานเจาะลึกเกี่ยวกับกระแสข่าวการสิ้นสุดของจักรวาล SSU ที่ประกอบไปด้วยคาแรกเตอร์ Venom, Morbius, Madame Web และ Kraven ที่ประสบความล้มเหลวมาโดยตลอด โดยเฉพาะในปี 2024 ที่มีหนังของ จักรวาล SSU เข้าฉายถึง 3 เรื่อง แต่กลับมีเพียง ‘Venom: The Last Dance’ เพียงเรื่องเดียวที่สามารถทำกำไร

ในขณะที่ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่า ‘Kraven the Hunter’ จะทำรายได้เปิดตัวช่วงสุดสัปดาห์แรกต่ำที่สุดในบรรดาหนังซูเปอร์ฮีโรของ Marvel และการคาดการณ์นั้นก็เกิดขึ้นจริง ‘Kraven the Hunter’ สามารถทำรายได้จากการเข้าฉายสุดสัปดาห์แรกในสหรัฐอเมริกาไปเพียง 11 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างประมาณ 110 -130 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าต่ำกว่า ‘Madame Web’ ที่ทำรายได้สุดสัปดาห์แรก 15 ล้านเหรียญ (ปิดรายได้ที่ 100 ล้านเหรียญ)

นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ Sony Pictures ล้มเหลวในการพยายามสร้างภาพยนตร์ภาคแยกจากคาแรกเตอร์รองและวายร้ายของ Spider-Man ให้กลายเป็นแฟรนไชส์ ต่อจาก ‘Morbius’ (2022) และ ‘Madame Web’ ที่เข้าฉายเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ความล้มเหลวบน Box Office อย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณแห่งการสิ้นสุดความพยายามนี้ของสตูดิโอ โดยแหล่งข่าววงในของ Sony รายหนึ่งชี้ว่า เรื่องนี้เกิดจาก ‘ความหมกมุ่นในหนังซูเปอร์ฮีโรจนเกินเหตุ’ ซึ่งในที่สุดก็ส่งผลให้ความนิยมของหนังแนวนี้ ในฐานะตัวขับเคลื่อน Box Office โดยรวมลดลง

Dakota Johnson Madame Web

แต่อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวนี้ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงจุดสิ้นสุดของจักรวาล Marvel ของ Sony หากพูดในแง่เทคนิค ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าจักรวาล Marvel ของ Sony หรือ Spider-Man ของ Sony หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการอื่น ๆ ที่เทียบเคียงได้กับ Marvel Cinematic Universe (MCU) หรือ DC Universe (DCU) ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่เลย

เพราะ Sony ไม่เคยมีจุดมุ่งหมายในการดัดแปลงคาแรกเตอร์จากหนังสือคอมิก ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความเชื่อมโยงของเนื้อเรื่องในแบบเดียวกับที่ MCU และ DCU พยายามทำ ดังจะเห็นได้จากคำเรียกที่ไม่เป็นทางการว่า ‘จักรวาลคาแรกเตอร์ Marvel ของ Sony’ อีกประการหนึ่ง Sony ยังคงมุ่งมั่นอย่างมากในการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Spider-Man ซึ่งเป็นตัวละครยอดนิยมของ Marvel ที่เริ่มต้นยุคสมัยหนังซูเปอร์ฮีโรด้วย ‘Spider-Man’ (2002) เวอร์ชันของ โทบีย์ แม็กไกวร์ (Tobey Maguire)

ในขณะที่ ณ เวลานี้ Sony กำลังให้ความสำคัญกับโปรเจกต์ ‘Spider-Man’ ภาคที่ 4 ของทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของ Sony และ Marvel Studios, หนังแอนิเมชันภาคที่ 3 ของ Miles Morales อย่าง ‘Spider-Man: Beyond the Spider-Verse’ ซึ่ง 2 ภาคก่อนหน้าประสบความสำเร็จอย่างสูงก็กำลังอยู่ในระหว่างพัฒนาเช่นกัน โดยมีข่าวว่าอาจจะเสร็จไม่ทันฉายภายในปี 2025 รวมทั้งซีรีส์ไลฟ์แอ็กชัน ‘Spider-Noir’ ของ Amazon Prime ที่นำแสดงโดย นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) ที่คาดว่าจะถ่ายทำเสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2025

นอกจากนี้ บุคคลวงในของ Sony ได้ออกมาปกป้องความสำเร็จของภาพยนตร์ Venom ทั้ง 3 ภาค ที่นำแสดงโดย ทอม ฮาร์ดี (Tom Hardy) ซึ่งทำรายได้ทั่วโลกรวมทั้งหมด 1,800 ล้านเหรียญ โดยภาคล่าสุด ‘Venom: The Last Dance’ สามารถทำรายได้ 475 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดของแฟรนไชส์ เมื่อเทียบกับ ‘Venom’ ภาคแรกที่เข้าฉายในปี 2018 ที่ทำรายได้ทั่วโลก 856 ล้านเหรียญ

แต่ด้วยความที่ภาค ‘The Last Dance’ ใช้ทุนสร้าง 120 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าเป็นงบประมาณที่ต่ำมากสำหรับหนังซูเปอร์ฮีโร ทำให้หนังยังอยู่ในแดนกำไร รวมทั้งยังสามารถทำรายได้จากต่างประเทศได้มากกว่าภาค ‘Let There Be Carnage’ ที่เข้าฉายในปี 2021 (ซึ่งเป็นผลพวงจากโรคระบาด) อีกด้วย

ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ Sony จะหยุดการสร้างหนัง ‘Venom’ ภายในเร็ว ๆ นี้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ‘Venom’ ถูกสร้างขึ้นจากคาแรกเตอร์ที่มีเอกลักษณ์ และได้รับความนิยมอย่างสูง ก็ทำให้ Sony มองเกมผิด คิดว่าผู้ชมจะหลั่งไหลมาชมหนังจากคาแรกเตอร์ในจักรวาล Spider-Man ตัวอื่น ๆ โดยไม่ต้องมี Spider-Man ปรากฏในเรื่องด้วย

เจฟฟ์ บ็อก (Jeff Bock) นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจบันเทิงและ Box Office จากบริษัท Exhibitor Relations ให้ทัศนะเกี่ยวกับจักรวาลภาคแยก Spider-Man ของ Sony เป็นเพราะการขาดคาแรกเตอร์ที่แข็งแรง

“ตัวละครทั้งหมดนี้ มีชื่อเสียงเพราะว่าพวกเขาเคยต่อกรกับ Spider-Man เป็นโชคร้ายสำหรับ Sony ที่พวกเขาได้ลิ้มรสความสำเร็จจาก ‘Venom’ และมันก็เหมือนเป็นการทำลายทุกอย่าง เพราะพวกเขาคิดว่าตัวละครทั้งหมดนี้จะสามารถสร้างหนังเดี่ยวแยกออกมาได้ ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะตระหนักได้ว่า ‘Venom’ สามารถแบกแฟรนไชส์ได้ แต่ตัวละครอื่น ๆ ทำไม่ได้ การไม่มี Spider-Man อยู่ในหนังเหล่านี้คือจุดบกพร่องที่ร้ายแรง”

Sony ไม่ได้เป็นเพียงสตูดิโอเดียวที่พยายามจะขยายจักรวาลซูเปอร์ฮีโรของตัวเองในช่วงปลายทศวรรษ 2010s ก่อนจะต้องเผชิญกับซบเซา จากการลดลงทั้งในด้านคุณภาพ และความสนใจของผู้ชมในยุค 2020s แต่ Sony กลับติดอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง นั่นก็คือข้อตกลงระหว่างสตูดิโอระหว่าง Sony กับ Marvel Studios ของ Disney ในการยินยอมให้คาแรกเตอร์ Spider-Man เข้ามาใน MCU โดยเริ่มต้นจาก ‘Captain America: Civil War’ (2016) และ ‘Spider-Man: Homecoming’ (2017)

ความร่วมมือที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ ซึ่งมี เควิน ไฟกี (Kevin Feige) ประธานของ Marvel Studios และ เอมี ปาสคาล (Amy Pascal) อดีตประธานของ Sony Pictures เป็นผู้ดูแลการผลิตหนัง Spider-Man เวอร์ชันของฮอลแลนด์ สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้กับ Sony ด้วยยอดรายได้รวมทั้ง 3 ภาคมากกว่า 3,920 ล้านเหรียญ แต่นั่นก็ทำให้ตัวละคร ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ของฮอลแลนด์ ถูกแยกออกจากโปรเจกต์อื่น ๆ ของ Sony ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ MCU ไปโดยปริยาย

ผู้บริหารระดับสูงซึ่งมีประสบการณ์ในวงการซูเปอร์ฮีโรเผยว่า “ความซับซ้อนทางธุรกิจ เมื่อสตูดิโอต่าง ๆ พยายามจะทำงานร่วมกันนั้นเป็นอะไรที่ยากมาก Sony ไม่มีความยืดหยุ่นเอาเสียเลย พวกเขาเหมือนติดอยู่ในกรง และพยายามจะทำแค่หนังที่ดีทีละเรื่อง ๆ เท่านั้น”

แหล่งข่าวของ Sony คนหนึ่งกล่าวว่า ในข้อตกลง Disney ไม่ได้ห้าม Sony ใช้ Spider-Man ในหนังที่ไม่ได้อ้างถึงโดยตรง ความหลากหลายของชื่อที่ปรากฏใน ‘Spider-Verse’ ที่มีทั้งตัวละครปีเตอร์ ปาร์กเกอร์, เกวน สเตซีย์ และเหล่า Spider-People ตัวอื่น ๆ ปรากฏอยู่เป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดี

แต่กลับเป็นฝั่งของ Sony เองที่ไม่ยอมใช้ตัวละครนี้ในหนังภาคแยกของตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้ชมอาจไม่ยอมรับ Spider-Man ของฮอลแลนด์ที่ปรากฏตัวในจักรวาลอื่น ๆ นอกเหนือจาก MCU โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ใน ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) และ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ (2022) ที่สร้างขอบเขตชัดเจนให้กับมัลติเวิร์สของ Marvel เอาไว้แล้ว

Tom Hardy Venom The Last Dance

สิ่งนี้ดูจะส่งผลกระทบต่อ ‘Morbius’ มากที่สุด ซึ่งแต่เดิมเคยมีกำหนดการฉายในเดือนกรกฎาคม ปี 2020 ก่อน ‘No Way Home‘ และ ‘Doctor Strange 2’ แต่เนื่องจากการมาของโควิด-19 ทำให้ต้องเลื่อนฉายไปหลังจากนั้น

ความล่าช้านี้บีบบังคับให้ Sony ต้องถ่ายทำใหม่เพื่ออธิบายว่า ทำไมตัวละครเอเดรียน ทูมส์ หรือ Vulture ที่แสดงโดย ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) ที่เปิดตัวในฐานะส่วนหนึ่งของ MCU แล้วใน ‘Homecoming’ ถึงมาอยู่ร่วมกับตัวละคร ดร. ไมเคิล มอร์เบียส ที่แสดงโดย จาเร็ต เลโต (Jared Leto) ซึ่งไม่ใช่ตัวละครของ MCU แนวคิดสนุก ๆ นี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่มันก็กลายเป็นปัญหาทันทีเมื่อมัลติเวิร์สกลายเป็นประเด็นสำคัญ

การพยายามจะหลบเลี่ยงและไม่ยอมนำคาแรกเตอร์ Spider-Man มาใช้ ยังส่งผลให้รู้สึกว่าบรรดาหนังเดี่ยวแยกเหล่านี้เป็นเพียงการฉวยโอกาสแสวงหาผลกำไรอย่างชัดแจ้ง โปรดิวเซอร์ผู้มีประสบการณ์คนหนึ่งกล่าวว่า “คุณสามารถสัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจของพวกเขาได้จากไกล ๆ พวกเขาแค่ต้องการจะผลิตหนังออกมาเรื่อย ๆ และมันก็ให้ความรู้สึกว่าแค่ทำเพื่อเงิน ไม่มีการควบคุมคุณภาพอะไรเลย”

คนวงในของ Sony ยอมรับอย่างเงียบ ๆ ว่าทั้ง ‘Kraven’, ‘Madame Web’ และ ‘Morbius’ นั้นเป็นผลงานที่ล้มเหลวทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์และเสียงวิจารณ์ แม้พวกเขาจะยืนยันว่า รายได้ทั่วโลก 167.4 ล้านเหรียญของ ‘Morbius’ ยังคงมีกำไรอยู่ แต่พวกเขาย้ำว่า ต่อจากนี้ไป สตูดิโออาจจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้นว่าควรจะเลือกคาแรกเตอร์จากจักรวาลของ Spider-Man ตัวใดมาสร้างแฟรนไชส์หนังของตัวเอง

ในขณะที่บ็อกอธิบายว่า มันอาจยังมีความเป็นไปได้อื่น “บางทีอาจจะลองหา Spider-Man คนใหม่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นทอมก็ได้นะ”