ในที่สุด ตัวอย่างแรกของ ‘Superman’ ภาพยนตร์เปิดประเดิมจักรวาล DCU (DC Universe) ตามแนวทางใหม่ของ DC Studios ที่ได้บอสใหญ่ เจมส์ กันน์ (James Gunn) มารับหน้าที่เขียนบทและลงมือกำกับเอง ก็ได้ออกสู่สายตาสาธารณชนแล้วในที่สุด โดยนอกจากเราจะได้เห็น เดวิด คอเรนสเว็ต (David Corenswet) ในมาดของคลาร์ก เคนต์ และซูเปอร์แมน รวมทั้งบรรดานักแสดง โดยเฉพาะ นิโคลัส เฮาลต์ (Nicholas Hoult) ผู้รับบทวายร้าย เล็กซ์ ลูเทอร์ (Lex Luthor) แห่งจักรวาล DCU
ในขณะที่หลายคนอาจคิดถึง Lex Luthor คนก่อนหน้า นิโคลัส เฮาลต์ (Nicholas Hoult) จากจักรวาล DCEU อย่าง เจสซี ไอเซนเบิร์ก (Jesse Eisenberg) นักแสดงที่แจ้งเกิดจาก ‘The Social Network’ (2010) ได้เปิดใจพูดกับพอดแคสต์ Armchair Expert ถึงผลกระทบด้านลบที่มีต่อตัวเขาจากการรับบทวายร้ายอัจฉริยะทั้งใน ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ (2016) และ ‘Justice League’ (2017) ที่ทำให้เขาได้รับคำวิจารณ์แง่ลบ และส่งผลเสียต่ออาชีพนักแสดงของเขาด้วยเช่นกัน
“ผมแสดงในหนังแบทแมน หนังเรื่องนั้นก็ได้รับกระแสตอบรับที่แย่มาก ๆ และผมเองก็ได้รับกระแสตอบรับที่แย่มากเหมือนกัน ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ที่ไหนมาก่อน และมันก็ค่อนข้างน่าอายที่จะยอมรับ แต่ผมคิดของผมจริง ๆ ว่า มันส่งผลเสียต่ออาชีพของผมค่อนข้างจะชัดเจน”
“…ที่ผมได้รับกระแสตอบรับไม่ดีมากถึงขนาดนั้น เป็นเพราะบรรดาสิ่งที่เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ซึ่งในวงการนี้ ถ้าคุณอยู่ในหนังฟอร์มใหญ่มาก ๆ แล้วถูกมองว่าแสดงไม่ดี คนที่มีหน้าที่คัดเลือกนักแสดงในหนังเรื่องต่อไปของพวกเขาก็จะไม่เลือกคุณ”
“ผมเคยแสดงในผลงานที่ได้รับกระแสตอบรับไม่ดี คือถ้าเรื่องนี้ไม่ได้พูดกันเป็นวงกว้าง คนส่วนใหญ่ก็แทบไม่รู้หรอก แต่เรื่องนี้มันแพร่กระจายออกไปสู่สาธารณะชนอย่างแพร่หลายมาก ๆ แล้วผมก็เป็นคนที่แทบไม่อ่านบทวิจารณ์ หรือข่าวสารเกี่ยวกับหนังเลย ผมเลยไม่รู้ว่าได้รับการตอบรับที่แย่ขนาดไหน”
หลังจากเปิดจักรวาล DCEU อย่างเป็นทางการด้วยผลงานแรก ‘Man of Steel’ (2013) ผู้กำกับ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ได้สร้างความฮือฮาด้วยหนังครอสโอเวอร์ครั้งแรกของแบทแมนและซูเปอร์แมนใน ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’
แต่เมื่อออกฉายจริง แม้ตัวหนังจะทำรายได้สูงถึง 874 ล้านเหรียญ แต่ตัวหนังถูกนักวิจารณ์และผู้ชมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รวมทั้งบทบาท Lex Luthor ของไอเซนเบิร์กที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม ตั้งแต่ดูเด็กเกินไป หรือไม่ก็ดูคล้ายกับ Joker มากเกินไป แม้สไนเดอร์เองจะออกมายืนยันว่าเขาเหมาะสมแล้วที่จะรับบทวายร้ายมหาเศรษฐีอัจฉริยะที่มีความซับซ้อน
ไอเซนเบิร์กเคยเปิดเผยในคลิปสัมภาษณ์ของ Konbini ถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจรับบทบาทนี้ และยังเปิดเผยด้วยว่า เขาตอบรับบทบาท Lex Luthor ทั้งที่ยังอ่านบทไม่จบ ก่อนที่บทของเขาจะถูกลบออกไปด้วยเหตุผลด้านการเก็บรักษาความลับ
“มันเป็นบทที่ชวนขบคิดทางปัญญามาก ๆ ครับ ผมเลยต้องใช้เวลาอ่านพอสมควร เพราะมันมีรายละเอียดเยอะมาก มีการอ้างอิงสิ่งที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมรู้สึกตกใจ เพราะผมไม่เคยดูหนังซูเปอร์ฮีโรมาก่อนเลย อาจจะเพราะผมสนใจแต่เฉพาะสิ่งที่ตัวเองสนใจ หรืออะไรก็ตาม ผมเลยคิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องของคนบินไปบินมาเป็นร้อย ๆ หน้า”
ไอเซนเบิร์กเคยเปิดเผยความรู้สึกในการรับบทนี้กับ Deadline ว่า แม้เขาจะตั้งใจในการรับบทมากแค่ไหน แต่สุดท้ายผู้คนก็ไม่ชอบเขาอยู่ดี และเขาคงตกใจถ้าหากได้กลับไปแสดงหนังซูเปอร์ฮีโรอีกครั้ง
“ผมผูกพันกับสิ่งนี้มาก คนที่เขียนบท คริส เทอร์ริโอ (Chris Terrio) เป็นคนที่จริงจัง และมีอารมณ์อ่อนไหวมาก เขาคิดถึงตัวละครของผมอย่างมาก และผมเองก็คิดถึงตัวละครของผมมากเหมือนกัน ผมคุยกับครูสอนการแสดงเกี่ยวกับตัวละครนี้เยอะมาก ทั้งเรื่องภูมิหลังของเขากับพ่อ และอารมณ์ของเขา แต่สุดท้ายผู้คนก็เกลียดผม”
“ผมคงตกใจถ้าผมได้กลับไปแสดงในหนัง DC อีก คือมันคงเป็นเรื่องประหลาดใจในแง่ดีน่ะนะ แต่ว่าผมไม่ได้เป็นแฟนคอมิก สำหรับผม การรับบทนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก แต่มันเป็นโอกาสที่ได้รับบทตัวละครที่ยอดเยี่ยม เขียนโดยนักเขียนบทที่ยอดเยี่ยม และผมก็รักในการได้แสดง เพราะฉะนั้น การได้รับบทจึงถือเป็นความสุข”
“แต่การไม่ได้รับบท ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะรู้สึกอายถ้าผมจะต้องเล่าให้ลูก ๆ ฟังน่ะนะครับ เพราะมันไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม แม้ว่าผมจะรักการแสดงในหนังเรื่องนี้ แต่มันเป็นเพราะผมรักมันในฐานะนักแสดงที่ต้องทำสิ่งที่หลากหลาย และบางครั้ง บทที่ยอดเยี่ยมก็มาในรูปของหนังฟอร์มยักษ์ และบางครั้งบทแย่ ๆ ก็มีอยู่ในหนังนอกกระแสได้เช่นกัน”
เพื่อย้ำให้ชัดว่า แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่เขาเองก็รักในการได้แสดงในหนังเรื่องนี้ และสนุกกับการรับบทเป็น Lex Luthor
“ทุกครั้งที่คุณเล่นบทอะไร คุณก็จะรู้สึกผูกพันกับบทนั้น มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ครับ ไม่ว่าคุณจะเล่นหนังฮอลลีวูด หรือหนังแบบไหนก็ตาม คุณจะรู้สึกเชื่อมโยงกับมัน”
“ผมรักในบทบาทของตัวผมเอง และผมก็รักหนังเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งกระบวนการทำงานและทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ถ้าผมรู้สึกว่าจะต้องโทษใคร ผมก็คงต้องโทษตัวเองนั่นแหละ ผมไม่เคยรู้สึกว่าใครทำไม่ดีกับผมหรืออะไรแบบนั้นเลยครับ ผมคิดแค่ว่า ‘โอ้ มันคงเป็นเพราะผมทำผิดตรงนั้นเองแหละ’ ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่น่าหดหู่ใจอยู่”