หากจะลิสต์หนังที่เป็นที่สุดของปี 2024 ‘Deadpool & Wolverine’ หนัง MCU เรื่องเดียวของปีนี้ คือ 1 ในปรากฏการณ์ที่มองข้ามไม่ได้จริง ๆ เพราะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของปีนี้ด้วยตัวเลขรายได้ 1,338 ล้านเหรียญ ทำรายได้เป็นอันดับ 2 ของปี (เป็นรองแค่ ‘Inside Out 2’ จากบ้านเดียวกัน) และขึ้นแท่นอันดับ 1 ของหนังเรต R ที่ทำรายได้มากที่สุดตลอดกาล

และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากแฟน ๆ ไม่ได้มีโอกาสรู้จักกับนายเวด วิลสัน ฮีโรชุดสีดำ-แดงจอมเกรียน กับเรื่องราวสุดป่วนใน ‘Deadpool’ (2016) จากวิสัยทัศน์ของนักแสดงนำและโปรดิวเซอร์ ไรอัน เรย์โนลส์ (Ryan Reynolds) และการกำกับของ ทิม มิลเลอร์ (Tim Miller) เขาได้ให้สัมภาษณ์กับ Collider ถึงจุดเริ่มต้นการกำกับ ‘Deadpool’ ภาคแรก ที่ถึงแม้ว่าตัวหนังจะทำรายได้สูงถึง 782 ล้านเหรียญ แต่เขากลับได้รับค่าตอบแทนในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่เพียงแค่หลักแสนเหรียญ

Ryan Reynolds Deadpool

“พวกคุณอาจจะไม่รู้นะครับ แต่การเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ในฮอลลีวูดน่ะมันไม่ได้ทำกำรี้กำไรอะไรมากนักหรอก ผมบอกตรง ๆ เลยว่า ตอนกำกับ ‘Deadpool’ ผมได้เงิน 225,000 เหรียญ คือมันฟังดูเยอะนะครับ แต่การทำงานในระยะเวลา 2 ปี มันไม่ได้มากมายอะไรเลย”

“แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกโอเคกับมันนะ ผมรู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ แต่การเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ก็แบบนี้แหละ ยังไงซะก็ต้องยอมรับมัน ตัวแทนของผมยังพูดเลยนะว่า ‘กำกับซีรีส์ ‘The Walking Dead’ แค่ตอนเดียว เผลอ ๆ นายยังได้เยอะกว่านี้อีก ! ‘”

“ผมว่าหลาย ๆ คนคงเข้าใจผิดว่าทุกคนในฮอลลีวูดจะต้องได้เงินกันเป็นล้าน ๆ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปครับ ผมไม่อยากให้ใครฟังแล้วคิดว่าผมไม่โอเคกับเรื่องนี้เพียงเพราะว่าผมทำงานหนัก แล้วกว่าจะได้โอกาสกำกับ ‘Deadpool’ ผมก็อายุ 50 กว่าเข้าไปแล้ว ผมคิดจริง ๆ นะว่าผมคงไม่มีโอกาสได้กำกับหนังยาวแล้ว แม้ว่าผมจะอยากทำมาตลอดชีวิตก็ตาม”

แม้เบื้องหน้าของ ‘Deadpool’ จะประสบความสำเร็จและกลายเป็นฮีโรที่ผู้คนรัก และปัจจุบันก็กลายเป็นความหวังของจักรวาล MCU ไปแล้วด้วย แต่เบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยอุปสรรค ด้วยทุนสร้างที่ 20th Century Fox อนุมัติให้เพียง 58 ล้านเหรียญ ตัวหนังจึงต้องพัฒนาไปแบบจำกัดจำเขี่ย

เรย์โนลส์เคยเปิดเผยกับ The New York Times ว่า ในเวลานั้น Fox ไม่อนุมัติงบค่าจ้างให้มือเขียนบทเข้าไปประจำการเพื่อคอยปรับแก้ไขบทหน้ากองถ่าย เรย์โนลส์จึงยอมสละค่าตัวของตัวเองเพื่อให้มือเขียนบททั้งพอล เวอร์นิก (Paul Wernick) และเร็ตต์ รีส (Rhett Reese) เข้าไปทำงานในกองถ่ายได้สำเร็จ

อุปสรรคใหญ่อีกอย่างของหนังเรื่องนี้ก็คือการต่อสู้กับความไม่ไว้วางใจของสตูดิโอ ที่ต้องการปรับลดโทนเนื้อหาของหนังจากเรต R ที่วางแผนไว้แต่แรกให้เหลือเพียงเรต PG-13 เพื่อขยายฐานผู้ชมให้มากขึ้น รวมทั้งในตอนท้ายของการถ่ายทำ สตูดิโอยังตัดสินใจหั่นงบออกไปอีก 7-8 ล้านเหรียญแบบกะทันหัน ทำให้ต้องมีการตัดบางฉากออกไปตามจำนวน 9 หน้า จากบทหนังความยาวทั้งหมด 110 หน้า แต่ในที่สุด ความสำเร็จเป็นกอบเป็นกำของ ‘Deadpool’ ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าสตูดิโอคิดผิด

ก่อนหน้าที่มิลเลอร์จะได้เข้ามากำกับ ‘Deadpool’ เขามีเครดิตในฐานะคนเบื้องหลังมาก่อน ตั้งแต่การดูแลวิชวลเอฟเฟกต์ เป็นผู้กำกับ Second Unit เป็นผู้ออกแบบฉากเปิด หรือ Opening Scene ให้กับหนัง ‘The Girl with the Dragon Tattoo’ (2011) และ ‘Thor: The Dark World’ (2013) และมีผลงานการกำกับหนังสั้น เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดสั้น จากการเป็น Executive Producer หนังสั้นแอนิเมชันเรื่อง ‘Gopher Broke’ (2004)

Ryan Reynolds Tim Miller Deadpool

ความสำเร็จของ ‘Deadpool’ ส่งให้เขามีผลงานในฮอลลีวูดตามมาอีกมากมาย ทั้งการกำกับหนังยาวเรื่องที่ 2 ‘Terminator: Dark Fate’ (2019) รับช่วงต่อดูแลงานถ่ายซ่อมหนัง ‘Borderlands’ รวมทั้งการเป็น Executive Producer หนัง ‘Sonic the Hedgehog’ ทั้ง 3 ภาค นอกจากนี้ มิลเลอร์ยังรับหน้าที่เป็นครีเอเตอร์, ผู้กำกับ, เขียนบท และ Executive Producer ให้กับแอนิเมชันซีรีส์ ‘Love, Death & Robots’ ของ Netflix และ ‘Secret Level’ ของ Prime Video ด้วย

แม้ ‘Deadpool’ จะไม่ใช่ผลงานที่ทำให้เขามั่นคงในด้านการเงิน แต่ผลงานชิ้นโบแดงนี้ก็ยังคงเป็นผลงานที่เขาภาคภูมิใจ ในฐานะผู้ร่วมปลุกปั้นซูเปอร์ฮีโรนอกสายตา ให้กลายเป็นปรากฏการณ์หนังซูเปอร์ฮีโรแนวทางใหม่ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปในเวลาต่อมา เพียงแต่ว่า

“คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไง สิ่งที่ผมรู้สึกคือไม่มีอะไรเลยนอกจากความภาคภูมิใจครับ ผมรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งเลยนะตอนที่เดินผ่านในงาน CCXP แล้วเห็นฟิกเกอร์ Deadpool ทั้งหลายแหล่ ผมคิดว่าของพวกนี้คงไม่มีอยู่ หากเราไม่ได้ทำหนังเรื่องนั้นขึ้นมา และผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน…”

“…แต่ความคิดถัดมาของผมก็คือ ผมอยากให้ข้อตกลงในฐานะผู้กำกับของผม รวมส่วนแบ่งรายได้จากการขายสินค้าเข้าไปด้วย เพื่อที่ว่าผมจะได้เงินจากอะไรพวกนั้นบ้าง”