หากจะพูดถึงครอบครัวฮอลลีวูดที่เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ก็คงต้องนึกถึงตระกูลสกาส์กอร์ด (Skarsgård) ครอบครัวสายเลือดสวีเดนที่ทำอาชีพนักแสดงมาตั้งแต่รุ่นพ่อ สเตลแลน สกาส์กอร์ด (Stellan Skarsgård) ที่นอกจากจะเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ที่ยังคงมีผลงานมาจนถึงปัจจุบันแล้ว เขายังเป็นพ่อของลูกชายที่มีอาชีพนักแสดงถึง 4 คน

1 ในนั้นก็คือ บิล สกาส์กอร์ด (Bill Skarsgård) นักแสดงหนุ่มวัย 34 ปี ที่แจ้งเกิดจากการรับบทเป็นตัวตลกเพนนีไวส์ ใน ‘It’ (2017) และ ‘It Chapter Two’ (2019) และกำลังจะกลับมารับบทเดิมในซีรีส์ ‘It: Welcome to Derry’ รวมทั้งผลงานอีกมากมาย อาทิ ‘Atomic Blonde’ (2017), ‘Deadpool 2’ (2018), ‘John Wick: Chapter 4’ (2023), ‘Boy Kills World’ (2023), ‘The Crow’ (2024) และการรับบทเป็น เคานท์ ออร์ล็อก ในหนังแดร็กคูลาฉบับรีเมก ‘Nosferatu’

หลายคนย่อมอยากรู้ว่า สเตลแลน ในฐานะพ่อและนักแสดงรุ่นใหญ่ ได้ปลูกฝังเทคนิคหรือให้คำแนะนำด้านการแสดงให้กับเขาในฐานะทายาทสายตรงบ้างไหม ซึ่งบิลได้เปิดเผยคำแนะนำของพ่อในคลิปสัมภาษณ์บน TikTok ของ MTV ประเทศอังกฤษ

Alexander Skarsgård Gustaf Skarsgård Bill Skarsgård

“สำหรับผม คนที่สำคัญที่สุดก็คือพ่อครับ พ่อเป็นคนสอนให้เราทุกคนเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง และไม่ว่าคุณจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม คุณก็ควรจะทำมันอย่างเต็มที่ 100% ถ้าตัดสินใจทำอะไรแล้วก็จงทุ่มเทให้สุดตัว”

“แต่สิ่งที่สำคัญคือ พ่อไม่เคยสนับสนุนให้พวกเราเลือกเส้นทางการแสดงเลยนะครับ พ่อก็แค่สนับสนุนให้เราทำสิ่งที่อยากทำ ผมว่าพ่อก็คงแปลกใจแหละที่เห็นผมทำอาชีพนี้ แต่เขาก็ยังปลูกฝังให้เราเชื่อมั่นในตัวเอง และรับฟังสัญชาตญาณที่อยู่ในตัวเองให้กับพวกเราเสมอมา”

บิลเป็นลูกชายคนที่ 4 ของสเตลแลน นักแสดงรุ่นใหญ่เจ้าของผลงานมากมายทั้งในสวีเดน และมีผลงานในฮอลลีวูด อาทิ การรับบทเป็น บิล เทอร์เนอร์ ในแฟรนไชส์ ‘Pirates of the Caribbean’ รับบท ดร. เอริก เซลวิก ในจักรวาล MCU และรับบทเป็น บารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอเนน ในแฟรนไชส์มหากาพย์ ‘Dune’ ของผู้กำกับ เดอนี วีลเนิฟ (Denis Villeneuve) รวมทั้งมีบทบาทในมินิซีรีส์ ‘Chernobyl’ (2019)

นอกจากนี้ เขายังเป็นพ่อของลูก ๆ 8 คนที่ประกอบไปด้วยลูกชาย 7 คน และลูกสาว 1 คน แต่ทายาทที่เป็นนักแสดงที่มีผลงานเป็นที่รู้จักก็คือ อเล็กซานเดอร์ สกาส์กอร์ด (Alexander Skarsgård) ลูกชายคนแรกที่รู้จักในฐานะนักแสดงจากซีรีส์ ‘True Blood’ (2008 – 2014) รวมทั้งหนัง ‘Godzilla vs. Kong’ (2021), ‘The Northman’ (2022) ลูกชายคนที่ 2 กุสตาฟ สกาส์กอร์ด (Gustaf Skarsgård) ที่เคยมีผลงานการแสดงในหนัง ‘The Way Back’ (2010) และซีรีส์ ‘Westworld’ (2018) และ วัลเตอร์ สกาส์กอร์ด (Valter Skarsgård) น้องชายของบิล ที่มีผลงานการแสดงในสวีเดนเป็นส่วนใหญ่

ครั้งหนึ่ง นิตยสาร Hero เคยพาสเตลแลนมานั่งสัมภาษณ์บิลผู้เป็นลูกชาย ซึ่ง 1 ในเรื่องที่เขาเผยกับผู้เป็นพ่อก็คือ ความคาดหวังในฐานะเป็นทั้งลูกชาย และน้องชายของนักแสดงที่ประสบความสำเร็จ

“ตลอด 3 ปีในโรงเรียนมัธยมปลาย ผมได้ทำงานแสดงบ้าง จนผมเรียนจบ ถึงได้รับบทนำในหนังจริง ๆ ในหนังเรื่อง ‘Behind Blue Skies’ (2010) กลับมาที่พ่อถามผมว่า ผมกลัวไหมที่รู้ว่าทุกคนในครอบครัวประสบความสำเร็จมากขนาดนั้น เหตุผลที่ผมไม่ได้อยากจะเริ่มต้นอาชีพนักแสดงตั้งแต่แรก เพราะผมกลัวคนจะคิดว่า ‘นั่นมาแล้วอีกคน ก็เขาโตมาบนกองเงินกองทองอยู่แล้วนี่ ไม่แปลกใจที่เขาเลือกจะเป็นนักแสดง'”

“มันเป็นสิ่งที่ผมเองก็ยังต้องต่อสู้กับมันอยู่ ทุกครั้งที่ผมให้สัมภาษณ์ ยังมีนักข่าวถามอยู่เลยว่า ‘บิล คุณอยากจะเป็นนักแสดงจริง ๆ หรือเปล่า’ ผมก็ตอบไปว่า ‘ใช่ครับ ผมว่าผมมั่นใจนะ ผมทำงานนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว'”

“ไม่ใช่ว่าผมจะได้รับบทอะไรง่าย ๆ เพราะผมก็ต้องพิสูจน์ตัวเองเหมือนกัน การที่ผู้กำกับจะเลือกคุณ ก็เพราะว่าเขาคิดว่าคุณเหมาะสมที่สุดกับบทนั้น ไม่ใช่เพราะนามสกุล ลำพังแค่การเป็นวัยรุ่นก็ลำบากในการค้นหาตัวตน ค้นหาหนทางของตัวเองมากพอแล้ว และการที่ผมเลือกที่จะเป็นนักแสดง ก็เพราะว่ามันคือหนทางของผม ไม่ใช่หนทางของครอบครัว”

Bill Skarsgård It

ในขณะที่คนเป็นพ่ออย่างสเตลแลน กลับให้สัมภาษณ์กับ Sky News ว่า เขาไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรสำหรับลูกชายผู้เป็นนักแสดง นอกจากจะต้องพยายามค้นหาเส้นทางของตัวเองให้ได้

“ผมพยายามจะทำตัวไม่เป็นผู้ชี้แนะนะ ผมมีลูกทั้งหมด 8 คน และ 4 คนในนั้นเป็นนักแสดง ผมไม่ได้แนะนำอะไรพวกเขาเลยครับ ผมคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด และค้นหาแนวทางของตัวเอง”

ไม่ว่าจะบทบาทตัวตลกสุดสยอง, ขุนนางแห่งสภานักฆ่า, ฮีโรหูหนวกเป็นใบ้ หรือเป็นแดร็กคูลา นอกจากการเชื่อในสัญชาตญาณเช่นเดียวกับคำแนะนำของพ่อ เขายังค้นพบสิ่งที่ทำให้การแสดงของเขาไม่เหมือนใคร

“แม้ว่าผมจะเริ่มทำอาชีพนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อผมเริ่มรู้สึกว่า โอเค ผมเริ่มมีเอกลักษณ์ มีมุมมองที่เป็นของตัวเอง นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่เป็นเหมือนใคร หากผมยึดแนวทางตามนั้น มันจะทำให้การแสดงของผมเต็มไปด้วยความจริงใจ และผมก็ยังคงยึดหลักนั้นมาจนถึงทุกวันนี้”