ช่วงนี้กระแสอนิเมะบ้านเราตื่นตัวกันมากทีเดียว อย่างล่าสุดก็มีข่าวที่ว่าทีมงาน RiFF Studio ที่ทำอนิเมะให้หนังไทยจากค่ายอารมณ์ดีในอดีตอย่าง GTH เรื่อง เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ  ก็ได้รับความสนใจจากค่ายหนังต่างชาติไม่น้อยโดยเฉพาะจากฝั่งญี่ปุ่น ในขณะที่ตัวหนังเองก็มีโอกาสที่จะถูกซื้อสิทธิ์ไปรีเมคยังต่างแดนเช่นกัน ในช่วงเวลาไม่ห่างกันนี้เอง อนิเมะสายเลือดไทยจากค่ายเล็กๆ อีกค่ายหนึ่ง ก็กำลังได้รับการพูดถึงอย่างมาก โดยแม้จะเป็นคลื่นเล็กๆแต่ก็เป็นการท้าทายความเป็นไปได้ใหม่ๆให้สายอนิเมะชาวไทยได้คาดหวังกันได้ทีเดียว

โดยใครที่ท่องเว็บไซต์คอมมูนิตี้อันดับหนึ่งของไทยอย่าง พันทิปดอทคอม ในช่วงนี้ โดยเฉพาะห้องการ์ตูน คงได้เห็นกระทู้แนะนำอย่าง [The Wavemaker] Animation Series วัยรุ่นเรื่องแรกของไทย จะไปได้มั้ยในวงการนี้ ซึ่งได้รับความสนใจจากแฟนอนิเมะไปไม่น้อย ด้วยสไตล์ภาพแบบกึ่งสองมิติและสามมิติ ที่เป็นแนวสมัยนิยม ใครนึกไม่ออก คือเทคนิคเดียวกับที่ใช้ใน เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ หรือคออนิเมะญี่ปุ่นน่าจะคุ้นเคยจากงานอย่างซีรีส์ Ajin และ Berserk 2016 นั่นเองครับ

ทีมงานนี้มีชื่อว่า KNG Studio (Kaongai Studio – ข้าวงายสตูดิโอ) เป็นสตูดิโอเล็กๆจากเชียงใหม่ที่มีความฝันไม่ธรรมดา วันนี้ทางทีมงานแบไต๋สบโอกาส จึงขอสัมภาษณ์ตัวแทนทีมงานอย่าง คุณป๊อป-ธนภัทร กาญจโนภาส มาช่วยแนะนำให้ได้รู้จักทั้งทีมและโปรเจคที่น่าสนใจนี้กันครับ

แบไต๋: ขอเริ่มที่ว่าโปรเจค “The Wavemaker” นี้คืออะไรครับ?
KNG:  The Wavemaker เป็น Animated Series เกี่ยวกับวงดนตรี ที่มีกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มวัยรุ่นวัยมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นวัยที่มีความฝัน แต่ก็เข้าใกล้เวลาที่ต้องเผชิญความจริง ซึ่งเข้ากับประเด็นที่เราอยากนำเสนอพอดี  และเราได้ใช้ดนตรีเป็นแกนในการเล่าเรื่อง ซึ่งน่าจะจับกลุ่มคนที่ชอบฟังเพลงได้อีกกลุ่มนึงด้วยครับ

แบไต๋: ทางทีมงานตั้งใจจะให้ผลงานชิ้นนี้ออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?
KNG: เรามีความตั้งใจจะให้  The Wavemaker เป็น Animated Series ที่มีความยาวประมาณตอนละ 24 นาทีครับ ส่วนช่องทางการเผยแพร่ ณ ตอนนี้เรายังไม่มีครับผม เพราะตัว Teaser ที่ปล่อยออกไปนี้ ส่วนนึงก็เพื่อหาช่องทางเผยแพร่ด้วยครับผม

แบไต๋: แล้วจุดตั้งต้นของโปรเจค The Wavemaker นี้เกิดขึ้นมาจากอะไรครับ?
KNG:เรื่องที่มาที่ไปถ้าจะพูดคร่าวๆ คือ เริ่มจากทีมของเราอยากจะมีซีรี่ส์ Animation เป็นของตัวเองครับ และเรามีความรู้สึกว่า เรื่องราวของค่ายเพลงอย่าง Minimal Records และตัววง Solitude is Bliss นั้นมีความน่าสนใจมากๆ ในแง่ของการต่อสู้และสร้างพื้นที่ของตนเอง ซึ่งเอาจริงๆต้องย้อนไปตั้งแต่ว่าตัว Minimal Records เองนั้นเกิดมาจากกลุ่ม No Signal Input อีกที และได้เริ่มสร้างตัวตนขึ้นมาอย่างที่เห็นในปัจจุบันก็ต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งเลยครับ ถ้าตามความรู้สึกก็คือ ค่ายนี้มีความคล้ายกับสตูดิโอของเราเอง ที่เริ่มต้นจากเชียงใหม่ ที่ไม่ใช่เมืองหลวงของวงการนี้ครับ

แล้วเราจะก่อคลื่นเป็นของเราเองเลยไม่ได้หรือ?

แบไต๋: ถ้างั้นชื่อ The Wavemaker นี้ มีความหมายพิเศษอย่างไรกับทางผู้สร้างบ้างครับ?
KNG: คำว่า Wavemaker เป็นคำที่คิดได้ตอนที่นึกถึง การพาคลื่นไปถึงฝั่ง คล้ายกับการทำตามความฝันครับ ซึ่งถ้าปล่อยตัวไปกับกระแสหลักมันก็คือการช่วยเสริมให้คลื่นเดิมที่มีอยู่ยิ่งใหญ่ขึ้น เลยเกิดคำถามที่ว่า แล้วเราจะก่อคลื่นเป็นของเราเองเลยไม่ได้หรือ? จึงเป็นที่มาของชื่อ The Wavemaker ครับ ซึ่งที่ชอบชื่อนี้ เพราะสามารถเอามาล้อกับคำว่า ‘Wave’ ที่หมายถึงก้อนเสียง พอกลายเป็น Wavemaker ก็คิดเล่นๆไปว่าอาจสื่อถึงพวกคนทำเพลงได้เช่นกันครับ

แบไต๋: ทีมงานมีแรงบันดาลใจจากงานอะไรมาบ้างครับ ทั้งด้านเนื้อเรื่องและวิธีการนำเสนอ?
KNG: ด้านเนื้อหาได้แรงบันดาลใจจากศิลปินอินดี้ในจังหวัดเชียงใหม่ครับ ซึ่งตัว References เราได้มาจากวง Solitude is Bliss ซึ่งในมุมมองของพวกเรา พวกเขาก็กำลังก่อคลื่นอยู่เหมือนกัน เขาต่อสู้อยู่เหมือนกัน แต่เราเอามาแต่งเติมอีกทีเพื่อเพิ่มอรรถรสในเชิงภาพยนตร์ครับ ส่วนเรื่องวิธีการนำเสนอนี่พูดยากมาก เพราะแรงบันดาลใจของทีมงานค่อนข้างกระจัดกระจายอยู่พอควร เอาเป็นว่าทั้งเทคนิคการทำ และสไตล์ภาพ/การเล่าเรื่อง มาจากรสนิยมของทีมงานหลายๆคนมาหล่อรวมกัน แล้วหาจุดลงตัว น่าจะอธิบายง่ายที่สุดครับ

แบไต๋: ใครที่น่าจะชอบหนังเรื่องนี้บ้าง อย่างพวกเพลงในเรื่องจะเป็นแนวไหน มีวงไหนบ้าง แล้วจะมีเพลงเยอะไหมครับ?
KNG: เรื่องนี้มีเพลงเยอะแน่นอน เพราะเราใช้แกนหลักเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักดนตรีเลย ส่วนเรื่องแนวเพลงคงจะเป็นเพลงนอกกระแสเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ แต่ส่วนจะใช้เพลงของใคร วงอะไรมั้ย ขออุบไว้ก่อน แต่เชื่อและหวังว่าวัยรุ่นที่ชอบฟังเพลงหรือดูหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะชอบ The Wavemaker นะครับ

แบไต๋: แล้วได้มีการใช้เครื่องมืออะไรในการทำงานบ้าง?
KNG: เราทำงานกันเป็นสตูดิโอเล็กๆ มีคอมพิวเตอร์ประมาณ 10 เครื่องเองครับ

แบไต๋: ทำไมถึงได้เลือกเทคนิคนี้ในการนำเสนอครับ และมองว่าต่างจากการทำแบบ 2D หรือ 3D ไปเลยอย่างไร?
KNG: เรื่องเทคนิคที่ดูกึ่ง 2D กึ่ง 3D น่าจะเป็นความชอบร่วมกันของสตูดิโอมากกว่าครับ เพราะโดยส่วนตัวเราชอบงาน 3D ที่ทำออกมาให้ดูคล้าย 2D กันอยู่แล้ว มันมีเสน่ห์ในตัวอย่างบอกไม่ถูก ก็เลยเลือกมาใช้นำเสนอในงานนี้ครับ

ที่ทำกันตอนนี้ก็น่าจะเหมือนการทุบหม้อข้าวตัวเอง ลองสู้สักตั้ง!!

แบไต๋: การทำหนังเพลงเรื่องนี้ มีอุปสรรคอะไรหรือความยากง่ายอะไร ที่ทีมงานได้เรียนรู้บ้าง?
KNG: เงินครับ!! (หัวเราะ)  หลักๆ เลยคือเรื่องเงินทุน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเราที่พยายามเปลี่ยนจากสตูดิโอที่รับงาน Outsource เลี้ยงบริษัทมาตลอด มาสร้าง Product เป็นของตัวเอง ก็คือยังไม่มีทุนมาทำงานนี้แบบเต็มๆ หรอกครับ ที่ทำกันตอนนี้ก็น่าจะเหมือนการทุบหม้อข้าวตัวเอง ลองสู้ดูสักตั้งมั้งครับ

แบไต๋: ทางกลุ่มมีสมาชิกกี่คน ทำหน้าที่อะไรบ้าง และที่มาที่ไปของการรวมตัวกัน ผลงานที่ผ่านมา อนาคตความฝัน ความตั้งใจที่จะไปให้ถึง?
KNG: KNG Studio มีกันอยู่ 8 คนครับ ซึ่งครอบคลุมหน้าที่กันหมดเลย ตั้งแต่ Producer / Creative / คนเขียนบท / 2D Artist / 3D Artist / Animator / Editor / Sound Design และสมาชิกทั้งหมดรู้จักกันมาก่อนครับ เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ที่จบจากสาขา Animation วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พอเรียนจบกันแล้ว ก็คุยกันว่าน่าจะมาลองตั้งบริษัทด้วยกันดู เพราะมีอุดมการณ์เรื่องการสร้างพื้นที่ของตัวเองคล้ายๆ กัน แล้วก็มีความถนัดครอบคลุมตำแหน่งต่างๆกันพอดี เลยเป็นที่มาของ KNG Studio (ข้าวงายสตูดิโอ) ความฝันกับจุดมุ่งหมายของเรา คือเราอยากเป็นสตูดิโอที่มี Product เป็นของตัวเอง อยู่ได้ด้วยการสร้างงาน ทำงานในแบบที่เราชอบ คล้ายๆ กับ Studio Ghibli หรือ Disney ครับ

แบไต๋: มาช่วงขายของกันบ้างครับ ว่าทำไมคนดูถึงไม่ควรพลาดผลงานชิ้นนี้อย่างแรงครับ?
KNG: ผมเชื่อว่าคนที่กำลังต่อสู้ไล่ตามความฝันของตัวเอง หรือกระทั่งใครที่กำลังท้อแท้กับความฝัน จะอินกับ The Wavemaker ไม่มากก็น้อย ยังไงฝากติดตามด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ

นับว่าเป็นโปรเจคที่น่าสนใจไม่เบาครับ เพราะพูดถึงอนิเมชั่นบ้านเรามักเน้นเนื้อหาไปที่เด็กเล็กมากไป การลุกขึ้นมาทำอนิเมชั่นสำหรับเด็กโตหรือวัยเริ่มทำงานนี่เป็นอะไรที่เปิดที่ทางใหม่ๆให้วงการมากทีเดียว ส่วนตัวแล้วผมดูทีเซอร์ค่อนข้างได้อารมณ์ฉากใน เกรทฟูลซาวด์มิวสิคเฟซติวัล ในมังงะดนตรียอดฮิตอย่าง Beck ทีเดียวครับ ด้านคาแรกเตอร์ดีไซน์ก็อิงไปกับวง Solitude is Bliss เรียกว่าถอดมาได้ใกล้เลยล่ะ ซึ่งเพลงอินดี้ของวงนี้ใครฟังแนวนอกกระแสบ้านเราน่าจะรู้ถึงคุณภาพงานดีอยู่แล้วว่าน่าประทับใจขนาดไหน

ด้านคุณภาพงานนอกจากทีเซอร์และดีไซน์ที่เราได้เห็นจากเพจ TheWavemaker แล้วไปดุทางเว็บของทีมงานอย่าง kaongaistudio.com ก็ต้องบอกว่าฝีมือไม่ธรรมดาครับ ทั้งผลงานที่ไปเป็นส่วนหนึ่งในการผลิต THE STORY OF MAHAJANAKA ที่มีความยาว 140 นาที และซีรีส์ผีอย่าง THE WHISPER ก็ช่วยยืนยันความเป็นไปได้ที่เราจะเห็นตัวเต็มของ The Wavemaker ในเร็ววันนี้ครับ

แบไต๋ขอเป็นกำลังใจให้อนิเมเตอร์เลือดไทยกลุ่มนี้ด้วยครับ