สัปดาห์นี้คงเป็นสัปดาห์ของหนังรางวัลลงหนักครับ วันนี้ขอเสนอเรื่อง American Honey หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ ไม่แปลกครับ เพราะหน้าหนังมีชื่อที่ป๊อปสุดแค่ ไชอา ลาบัฟ ซึ่งหลังๆไปเอาดีด้านศิลปินจนแทบไม่ค่อยเห็นผลงานหนังแล้วเหมือนกัน จุดขายสำคัญคงเป็นการที่หนังไปคว้ารางวัลใหญ่ จูรี่ไพรส์ จากเทศกาลหนังระดับโลกอย่างเมืองคานส์มาได้ ซึ่งเป็นรางวัลเดียวกับที่ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เคยได้จากหนัง สัตว์ประหลาด (2004) มาแล้ว
หนังกำกับโดยผู้กำกับสาวใหญ่ชาวอังกฤษอย่าง แอนเดรีย อาร์โนลด์ ที่เคยชนะรางวัลออสการ์เมื่อปี 2005 จากสาขาภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยมจากเรื่อง Wasp (2003) ซึ่งดูเหมือนแอนเดรียจะชอบเรื่องราวที่มีตัวนำเป็นผู้หญิงไม่เบาครับ เพราะหลังจากนั้นเธอยังทำหนังที่ใช้มุมมองจากผู้หญิงนำเรื่องมาตลอดทั้ง Red Road (2006) Fish Tank (2009) และ Wuthering Heights (2011) เอาเป็นว่าไม่รู้จักไม่เป็นไรครับ เพราะหนังเรื่องใหม่ของเธอนี้บอกเล่าความถนัดของเธอออกมาได้หมดจดเลยทีเดียว
หนังเล่าเรื่องของ สตาร์ (ซาช่า เลน) เด็กสาววัย 18 ปีที่ไม่มีอะไรให้ภูมิใจในชีวิต มีพ่อที่เมาแล้วชอบลวนลาม กับแม่ที่ไปมีสามีใหม่และไม่สนใจใยดีลูกๆ เรียกว่าไม่เหลืออะไรให้พึ่งพิงเลย เธอได้รับการชักชวนจาก เจค (ไชอา) ชายหนุ่มปริศนาที่เดินทางกับกลุ่มวัยรุ่นที่เขาทาบทามมาเพื่อตระเวนขายนิตยสารไปทั่วสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นเธอก็ได้เข้าไปในโลกอีกใบที่เธอไม่รู้จักมาก่อน ทั้งชีวิตวัยรุ่น วัยขบถ ไร้กฏเกณฑ์ พลังงานที่เอ่อล้น และเรื่องราวความรักที่บอกใครไม่ได้ เนื้อเรื่องก็ประมาณนี้ล่ะครับ ท่องเที่ยว ตะล่อมขายนิตยสารให้พวกคนโง่ๆสงสาร ใช้ทั้งลูกล่อลูกชนเข้าแลก แล้วด้วยเพราะห้ามคบกันในกลุ่ม ก็เลยมีเรื่องแบบแอบรักกัน โกหกกัน ตลอดจนความสัมพันธ์หลายเส้า ครบสูตร! นี่มันวัยว้าวุ่นจริงๆ
หนังจัดเป็นโร้ดมูฟวี่ทั้งเนื้อเรื่อง และวิธีการถ่ายทำ เพราะผู้กำกับหญิงแอนเดรียอยากจะทดลองทำงานกับนักแสดงที่โนเนมและสดใหม่ เธอเลยเลือกตระเวนหาวัยรุ่นที่ดูเข้าท่าและน่าสนใจตามท้องถนน แล้วก็ทำการทดสอบบทกันตรงนั้นเลย (สดจริงๆ) ด้วยวิธีการห่ามมาก ตอนแรกนางเอกอย่างซาช่าเองก็เกือบจะไม่ได้เล่นแล้วเหมือนกัน เพราะตอนถูกขอให้แคสติ้งบทเธอกับเพื่อนๆ คิดว่าพวกนี้เป็นกองถ่ายหนังโป๊ (ฮา) เท่านั้นไม่พอแอนเดรียยังเลือกถ่ายหนังไปตามลำดับเวลา และใช้บทสนทนาที่คิดสดในขณะนั้น รวมถึงการถ่ายภาพที่ยังใช้อัตราส่วน 4:3 ที่แปลกมากในยุคนี้ ด้านโปรดักชั่นก็ไม่ต้องใช้การจัดแสงแต่อย่างใด เพราะใช้แสงธรรมชาติอย่างที่มันเป็นในฉากนั้นๆเลย ว่ากันตามตรงวิธีถ่ายทำของเธอดูจะคล้ายสารคดีแนวถ่ายแบบกองโจรเสียด้วยซ้ำ มันเลยเป็นงานที่ท้าทายทั้งคนทำและคนดู ทั้งยังได้ภาพและเรื่องราวที่สดสมจริงของวัยรุ่นด้วย (ว้าว)
สิ่งที่ประทับใจมากๆคือการถ่ายภาพของอเมริกาอย่างที่มันเป็นจริงๆ ทั้งด้านที่สวยงามทั้งด้านที่เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ตัดสินอะไรเพียงตัวละครเข้าไปใช้ชีวิตในสังคมแบบอเมริกันชั้นกลางถึงล่างแค่นั้นเอง ภาพอย่างพ่อแม่ที่ไม่ใส่ใจลูก โมเตลตามเมืองต่างๆ สิงห์รถบรรทุก สังคมพวกคนใช้แรงงาน คือมันมากกว่าแค่ความเป็นวัยรุ่น แต่มันเป็นวัยรุ่นที่พยายามดิ้นรนมีชีวิตรอดเพื่อตามฝันแบบอเมริกันดรีมในโลกที่แสนจะเรียลเหลือเกินนั่นเอง อีกอย่างที่ชอบมากคือเพลงในหนังครับ ทั้งป๊อป แร๊พ ฮิปฮอป จนแนวคันทรี่อย่างเพลง American Honey ของวง Lady Antebellum ที่เป็นทั้งชื่อหนังและบทสรุปบางอย่างในหนัง แค่ท่อนขึ้นเพลงก็ใช่เลยครับ She grew up on the side of the road เพลงในหนังเลือกมาได้มีรสนิยมและเหมาะกับการเล่าเรื่องมากครับ ไปฟังเพลงยังดีเลย
หนังเล่าเรื่องได้สนุกในแนวทางโร้ดมูฟวี่ที่ถ่ายทอดแบบเรียลมากๆ เวลาแทบจะเดินกันวันต่อวันตามเหตุการณ์ที่สตาร์เจอเลย เราเห็นพัฒนาการของสตาร์ที่ห่ามๆใสๆซื่อๆ เป็นวัยรุ่นที่พยายามมีชีวิตของตัวเอง มาสู่สตาร์ท้ายเรื่องที่ผ่านทั้งเหตุการณ์สุข ทุกข์ รัก โลภ โกรธ หลง วังวนโลกของผู้ใหญ่ จนเธอรู้จักโลกมากขึ้นมองทุกอย่างเปลี่ยนไปแม้แต่เพื่อนที่อยู่รอบกายเธอ แนะนำว่าอย่าไปพยายามหาไคลแมกซ์หรือข้อสรุปในหนังครับ เพราะจบได้แบบอืม..จบแล้วสินะ
สรุป
หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคำกล่าวที่ว่าปลายทางไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง และใครที่จะไปชมรายทางของหนังเรื่องนี้เตรียมใจนิดนะครับ หนังยาวราวๆ 2 ขั่วโมงครึ่ง (รวมโฆษณาก็ 3 ชั่วโมงเลย) เป็นหนังที่ดูสนุกดีเรื่องหนึ่งเลยครับถ้ามีเวลาว่างและนอนมาพอ สายรางวัล สายวัยรุ่นไม่น่าพลาดครับ หนังเข้าฉาย 2 กุมภาพันธ์นี้แบบโรงไม่น่ามาก อาจหาดูยากพอควร
อ้อ หนังมีตรวจบัตรประชาชนนะครับเพราะได้เรตสูง มีฉากเห็นกระปู๋ (เยอะขี้เกียจนับเลย) ฉากห่ามๆ เหล้ายาปาร์ตี้ คำพูดหยาบๆ รวมถึงฉากร่วมเพศที่ดูจริงจังจนคิดไปเลยว่า พี่แกใส่กันจริงๆแหงเลย เอาเป็นว่าเป็นหนังที่เรียลและต้องใช้วิจารณญาณในการรับชมนะครับ