ใครตามวงการหนังช่วงนี้คงเห็นหนังชื่อแปลกอย่าง Elle ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงในรางวัลสำคัญๆหลายรางวัล ท้าไม่ท้าเปล่า เอาชนะตัวเต็งบางสาขามาได้เสียด้วย โดยเฉพาะล่าสุดก็ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงจากเวทีลูกโลกทองคำไปครอง เอาชนะคู่แข่งสายแข็งได้อย่างสวยงาม

หนังเป็นการกลับมาวาดลวดลายของสายเก๋า ผู้กำกับเลือดดัทช์อย่าง พอล เวอร์โฮเวน ที่เคยทำหนังบล็อกบัสเตอร์ไซไฟร่วมสมัยมามากมายอย่าง RoboCop (1987) Total Recall (1990) Starship Troopers (1997) และ Hollow Man (2000) แต่กับแอลนั้นน่าจะเบียดไปทางผลงานขึ้นหิ้งของเขาอีกสายหนึ่งที่เล่นประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิงอย่าง Basic Instinct (1992) และ Showgirls (1995) เสียมากกว่า

พอล เวอร์โฮเวน ระหว่างกำกับฉากข่มขืน

หนังยังได้นักแสดงหญิงรุ่นใหญ่ระดับตำนานที่ยังสวยไม่สร่างชาวฝรั่งเศสอย่าง อิซาเบล อุูแปต์ ที่เคยคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์มาได้ถึง 2 ครั้งจาก Violette Nozière (1978) และ The Piano Teacher (2001) ถึงแม้ว่าฝั่งฮอลลีวู้ดจะไม่เป็นที่รู้จักนัก แต่ถ้าพูดถึงวงการหนังฝั่งยุโรปแล้วล่ะก็ เธอคือราชินีแห่งวงการคนหนึ่งทีเดียว

บทแรงๆ แรงจนฮอลลีวู้ดปฏิเสธ

จริงๆเดิมทีเวอร์โฮเวนอยากถ่ายหนังในสหรัฐ แต่หลังจากส่งบทไปให้นักแสดงฮอลลีวู้ดหลายต่อหลายคน ไล่ไปตั้งแต่ นิโคล คิดแมน, ชารอน สโตน, จูเลียน มัวร์, ไดแอน เลน จนถึง มาริยง โกติยาร์ แต่ทว่าทุกคนปฏิเสธแทบจะทันทีที่อ่านบทจบ โชคชะตาบังคับให้เวอร์โฮเวนได้ทำหนังพูดฝรั่งเศสเรื่องแรกในชีวิต เมื่ออูแปต์ได้เคยอ่านหนังสือเรื่อง Oh… ของนักเขียนฝรั่งเศสนาม ฟิลิป ฌอง ซึ่งหรือก็คือนิยายที่ถูกนำไปดัดแปลงเป็นบทหนังเรื่องนี้นั่นเอง แล้วเธอก็สนใจเล่นอย่างกระตือรือล้นเสียด้วย เวอร์โฮเวนเลยเปลี่ยนฉากมาถ่ายทำในปารีสแทน และเพื่อการนี้เขาต้องฝึกภาษาฝรั่งเศสเพื่อสื่อสารกับทีมงานฝรั่งเศสด้วย เรียกว่าชะตาพลิกผันแต่เฮียแกทุ่มเทเต็มร้อยจนเอาชนะดวงได้จริงๆ ด้วยเหตุนี้หนังเลยกลายเป็นตัวแทนฝรั่งเศสที่เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศปีนี้ แถมเป็นตัวเต็งสำคัญด้วยครับ

บทแรงดีเจ๊ประทับใจ แม้จะอายุอานามมากแต่ยังเสน่ห์แพรวพราวทีเดียวสำหรับอูแปร์

หนังเล่าเรื่องของ มิเชล เลอบลังค์ (อูแปต์) สาวใหญ่เจ้าของบริษัทผลิตเกม (ไม่แน่ใจว่าคือเกม Styx: Master of Shadows หรือเปล่า แต่ผู้ผลิตเกมนี้ก็ตั้งอยู่ที่ปารีสด้วย) เธอพยายามสืบและไล่จับคนร้ายสวมโม่งดำที่บุกเข้าบ้านเธอกลางวันแสกๆ เพียงเพื่อข่มขืนเธออย่างรุนแรงก่อนจากไปโดยไม่ขโมยอะไรไปสักอย่าง แทนที่เธอจะหวาดกลัวและอับอาย เธอลุกขึ้นมาเก็บกวาดข้าวของและอาบน้ำ จากนั้นก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานและสามีเก่าอย่างปกติ แถมเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉยอีก

หนังค่อยๆเปิดเผยว่าเธอจัดเป็นผู้หญิงที่แกร่งและเป็นนางมารร้ายสำหรับทุกคน ผู้ชายในเรื่องทุกคนไม่ว่าคนไหนก็ดูมีแรงจูงใจที่จะเป็นคนบุกมาทำร้ายเธอทั้งนั้น และเธอก็ค่อยๆสืบหาคนร้ายอย่างเงียบๆพร้อมรับมือกับปัญหาชีวิตรอบด้าน ทั้งสามีเก่าที่กำลังคบสาวเอ๊าะๆ สามีของเพื่อนสนิทที่ดันมามีสัมพันธ์ลับกับเธอ แม่ของเธอที่แก่จวนเข้าโลงแต่ยังคั่วเด็กหนุ่ม ลูกน้องชายในบริษัทที่มีปัญหากับเธอในเรื่องงานอย่างรุนแรง เพื่อนข้างบ้านที่เป็นคาธอลิกขั้นข้นและสามีหนุ่มแสนดีของเขาที่ดูจะสนใจเธอนิดๆ ลูกชายตัวแสบที่ไม่เอาอ่าวแถมโดนผู้หญิงจับให้รับผิดชอบลูกในท้องเธออีก รวมถึงอดีตอันเลวร้ายที่พ่อของเธอชวนเธอในวัยเด็กไปไล่ฆ่าเพื่อนบ้านเกลี้ยงจนกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญชาวฝรั่งเศสที่หลอกหลอนเธอมาถึงปัจจุบัน เอาเป็นว่าคนเยอะเรื่องเยอะวุ่นวายสไตล์ซิทคอม จนเรื่องโดนข่มขืนกลายเป็นประเด็นรองๆไปเลยครับ

ด้วยบุคลิกของมิเชล เธอแกร่งและทำลายชีวิตผู้ชายทุกคนในหนังได้จริงๆ คือเรานึกคำด่าที่ผู้ชายจะมอบให้เธออย่าง บิทช์ ลอยเด่นมาตลอดเรื่องเลย เธอมีอำนาจเหนือหมดทั้งการเป็นเจ้านาย เป็นแม่ เป็นลูกสาว การเป็นอดีตภรรยา หรือแม้แต่ชู้รัก ในทุกบทบาทเธอคือคนคุมเกม แม้แต่ผู้ชายที่มาขมขื่นเธอ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นชีวิตผู้หญิงคนนั้นต้องย่อยยับแน่ๆ แต่ก็ยังไม่อาจทำอะไรเธอได้เลย ท่าทีแบบนี้ทำให้หนังดูตลกร้ายแล้วก็เฟมินิสต์จ๋ามาแต่ไกลทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่นักแสดงดังๆฝั่งฮอลลีวู้ดจะกลัวที่จะเล่นบทแรงๆ แบบนี้โดยเฉพาะไอ้การไม่ซีเรียสกับการถูกข่มขืนอย่างรุนแรงแล้วเกิดมีมู้ดที่ติดใจนิดๆด้วยสิ?

การแสดงของอูแปร์คงเป็นอีกอย่างที่ต้องพูดถึง บทของเรื่องส่งให้เธอได้แสดงหลากหลายพอที่จะโชว์ของครับ แต่ด้วยความเป็นดาร์คคอมเมดี้ฝั่งยุโรป มันก็เลยไม่ค่อยมีโมเม้นท์หรือฉากจำที่สะเทือนอารมณ์ดราม่าบ้าน้ำตาไหลอะไรเลย ตรงนี้ก็เป็นข้อเสียเปรียบพอประมาณ ฉากที่เราจำเธอได้จริงๆน่าจะเป็นฉากโดนข่มขืนกับท่าทีเฉยเมยต่างๆนั่นล่ะครับ ถ้าไปชนกับสายดราม่าทะลักๆหรือลุ่มลึกน่าจะแพ้ทางโดยเฉพาะเวทีบันเทิงจ๋าแบบออสการ์ด้วย

สรุป

หนังพลังหญิงมากๆ ครับ เรื่องนี้ผู้หญิงเป็นใหญ่แบบร้อยล้านเปอร์เซ็นต์เลย ไม่ใช่โดยตำแหน่งหรือพลังอำนาจ แต่เป็นการคุมอารมณ์การคุมความคิดเหนือ หรือที่เรียกว่าการปั่นหัวผู้ชายนั่นล่ะ และการทำให้พวกผู้ชายทั้งหลายเป็นพวกงี่เง่าปัญญาอ่อนนี่ก็สำคัญ ก็เป็นความบันเทิงแฟนตาซีที่สนุกดีครับ หนังไม่ใช่แนวตลกก๊ากแต่ก็ชวนให้คิดและขำกับการตัดสินใจบ้าๆบอๆหลายๆอย่างหลายๆครั้งได้ตลอดทั้งเรื่อง เป็นหนังรางวัลที่มาสายดาร์คคอมเมดี้ที่นานๆที่จะมาให้ชมครับ

หนังน่าจะเข้าฉายให้พิสูจน์คุณค่าแบบไม่กี่โรงวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ แล้วไปร่วมลุ้นการชิงรางวัลออสการ์สาขาหนังต่างประเทศกันสิ้นเดือนครับ

Play video