สรุปก่อนเลย เผื่อคนขี้เกียจอ่านยาว
นี่คือหนังที่แฟนคลับเดิม ๆ หนังของเฮียพชร์จะผิดหวัง ได้โปรดเอาความเลอะเรื้อนฮาห่ามกลับมาเอาใจแฟนสายฮาร์ดคอร์เถิดครับเฮีย
หนังเล่ารัวรั่วเอามันอย่างกับปืนกล แต่เป็นปืนกลของคนเมาที่ตั้งใจยิงขึ้นฟ้า คือยิงแบบไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องยิง และไม่สนใจผลที่ตามมาด้วย (แต่โคตรมีความตั้งใจเหนี่ยวไกแต่ละนัดเน้น ๆ เลยด้วยนะ) กระนั้นมันก็เป็นหนังที่ดูกับเพื่อน ๆ เอาแซวเอารั่วก็นัวอยู่นะ
สรุปเสร็จแล้วกลับมารีวิวละเอียดต่อ
เหนือความคาดเดาแรก – ตัวหนังจริงจัง! ไม่มีตุ๊ดแต๋วไรเลยด้วย!
หนังเรื่องนี้คือ ผลงานการกำกับของผู้กำกับที่มีผลงานเข้าโรงต่อเนื่องมากที่สุดในประเทศไทย นามของเขาเป็นที่รู้จักกว่าผู้กำกับที่ได้รางวัลสุพรรณหงส์ปีไหน ๆ เสียอีก ผลงานของเขาก็ใช่เล่นนะครับ เรียกว่าเป็นคนที่ทำหนังเฉลี่ยต่อปีน่าจะมากสุดแล้ว คือในปีหนึ่ง ๆ ต้องมีหนังแกในโรงเฉลี่ย 2 เรื่องเลยทีเดียว ผู้กำกับหนังไทยยุคนี้ยังมีใครทำได้บ้างล่ะ (ปี 2557 แกพีคสุดล่อไป 4 เรื่อง หลังจากนั้นก็ 2 เรื่องบ้าง 3 เรื่องบ้าง)
ผลงานแกมีทั้ง แนวจริงจังอย่าง 18 ฝนคนอันตราย, เพื่อน…กูรักมึงว่ะ, ตายโหง จนแนวเอาฮาด้วยตลกรุ่นใหญ่อย่าง ปล้นนะยะ, หอแต๋วแตก เอาฮาด้วยตลกรุ่นใหม่เอาใจวัยรุ่นอย่าง หลวงพี่แจ๊ส 4G, 888 แรงทะลุนรก และเอามันด้วยนักแสดงวัยรุ่นอย่าง แต๋วเตะตีนระเบิด, ม.6/5 ปากหมาท้าผี, วัยเป้งง นักเลงขาสั้น คือพี่แกเป็นคนที่ได้ทดลองทำหนังหลากแนวที่สุดคนหนึ่งแล้วล่ะนะ
เชื่อว่าแฟนสายโหดของพชร์น่าจะเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบหนังอย่าง หอแต๋วแตก และ หลวงพี่แจ๊ส 4G ดังนั้นขอแสดงความเสียใจด้วยฮะ เพราะกัดกระชากเกรียนเป็นหนังกลุ่ม ม.6/5ฯ และวัยเป้งฯ เสียมากกว่า ทั้งที่ตั้งแต่แกมาใช้ชื่อค่าย มูฟวี่ฮีโร่ นี่ หนังแกจะมาสายหนังพี่แจ๊สทั้งนั้นเลย แถมที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้ดูแกตั้งใจพิถีพิถันมาก (ตามศักยภาพการทำหนังดีของแกจะอำนวยนะ)
ดังนั้นเสียงฮาเลยจะพร่อง แต่สถานการณ์ไล่บี้กลุ่มตัวเอกนี่ไม่มีให้พักหายใจเลย (อันนี้วัดจากแฟนคลับแกที่นั่งใกล้ ๆ ผมนะ สังเกตเสียงหัวเราะและการสะดุ้งของพวกเธอประกอบการให้คุณค่าหนังเฮียพชร์ – คือไม่สามารถใช้เกณฑ์ตัวเองวัดให้จริง ๆ) เรียกว่าเป็นหนังซอมบี้ที่เทียบเรื่องจังหวะพยายามกดดันคนดูอย่างเดียวนี่พอ ๆ กับ Train to Busan ของเกาหลีเลยทีเดียว เหนือคาดมาก
เหนือความคาดเดาที่สอง – บท
ด้วยความตั้งใจจะจริงจังแต่ฝืนธรรมชาติรั่ว ๆ ของตัวหนังเองไม่ไหว หนังเลยจริงจังแบบกะพร่องกะแพร่ง คือมีทั้งดราม่าระหว่างตัวละครในแบบเพื่อน/พี่น้อง/พ่อแม่ลูก/คนรัก มีทั้งปริศนาความน่าสงสัยของเบื้องหลังทหารที่เข้ามาควบคุม มีทั้งความรั่วของตัวละครและซอมบี้
บทจึงเป็นแกนหลักที่ต้องทำหน้าที่คุมนักแสดงให้เล่นไปแบบที่หนังสามารถจบได้ จนบางทีเราก็แปลกใจว่า เฮ้ยไม่มีใครฉุกใจทักตรรกะในหนังเรื่องนี้ตอนแสดงบ้างเลยเหรอ? หนังเปิดเรื่องมาแบบไม่ปูพื้นเพตัวละครอะไรทั้งสิ้น ให้ตัวละครอยากเข้าไปในโรงพยาบาลร้างแถวบ้านที่ถูกทหารสั่งปิด แล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มรายละเอียดเข้าไป ส่วนพวกนักแสดงก็เหมือนเล่นแบบเหมือนไม่เคยได้อ่านบทหนังทั้งเล่ม ถ่ายวันแรกก็อ่านบทหน้าแรกเอา ไม่ต้องไปสนผลกระทบหลังจากนั้นค่อยไปว่ากันวันที่ถ่าย ทำให้การแสดงล้นผิดกับตรรกะที่ใส่มาภายหลังอย่างสิ้นเชิง
เปรียบไปมันเลยเหมือนคนอยากยิงปืนขึ้นฟ้าเพราะแค่อยากยิง ยิงแล้วก็รัว ๆ แบบไม่พักหายใจ (โดยก็ยังไม่รู้ว่าทำไปทำไม) จากนั้นค่อยเผยว่าอ่อมันมีงานแต่งนะเฮ้ยเขาเลยยิงปืนฉลอง แล้วหนังก็ยิงปืนต่อไปแบบไม่สนใจว่าลูกกระสุนจะไปกระทบบทส่วนไหนต่อไปอีก ไว้มันลงหัวใครค่อยว่ากัน
แต่ข้อดีของมันก็มีนะคือ เดาไม่ถูก เงื่อนไขซอมบี้นี่ดักทางไม่ได้เลย อย่างใน Train to Busan เราเห็นจุดอ่อนซอมบี้คือเรื่องการมองเห็น อย่างในหนังฝรั่งคือไวต่อเสียงและกลิ่น มาสายอินดี้หน่อยแค่คนเดินเลียนแบบซอมบี้มันก็แยกไม่ออกก็มี หรืออย่างใน Warm Body มันก็มีแบบซอมบี้ที่กึ่งมนุษย์มีความคิดแบบมนุษย์อยู่บนเงื่อนไขบางอย่าง
แต่กับ กัดกระชากเกรียน ซอมบี้มันน่ากลัวกว่ามาก ๆ ๆ ๆ เพราะมันอาร์ตตัวพ่อสุด ๆ บางทีมันแค่อยากวิ่งไปรอบ ๆ เรา บางทีมันเดินผ่านก็ไม่สนใจเสียงตัวละครคุยดังตะโกนโวยวาย บางทีมันเห็นคนทำท่าเลียนแบบมันก็ไม่สนใจแล้ว หรือบางทีแค่คนดันประตูไว้คนเดียว พวกมันทั้งฝูงก็พังเข้ามาไม่ได้ แต่ทั้งหมดก็อาจจะเปลี่ยนเงื่อนไขได้โดยไม่มีอะไรต้องบอกล่วงหน้า มันอาจจะอยากจู่โจมตอนไหนก็ได้ มันอยากจะพังประตูที่คนดันเป็นสี่ห้าคนก็ได้ (ทั้งที่คนเดียวมันเคยดันไม่ผ่าน)
มันจะมีสติคิดได้แบบมนุษย์มาช่วยคนที่กำลังหนีหรือจะคลั่งขึ้นมาเฉย ๆ ก็ได้ บางทีมันวิ่งทะลุกระจกเป็นจาพนมได้ แต่ก็กลับผ่านผ้าม่านธรรมดา ๆ ไปไม่ได้ คือมันมีทั้งสไตล์หนังซอมบี้โหด ๆ ของฝรั่ง ผสมปอบหยิบโก๊ะๆในบ้านผีปอบ ในสถานการณ์เดียวกัน แล้วแต่สุ่มว่าตัวละครจะไปเจอซอมบี้ประเภทไหนเอา
เปรียบง่ายๆ ซอมบี้เรื่องนี้มันคือแมลงสาบนั่นล่ะ เดาไม่ได้ เชื่อไรไม่ได้เลย น่ากลัวไหมล่ะ!
เหนือความคาดเดาที่สาม – หรือหนังจะมีสาระซ่อนไว้มากกว่าที่คิด
ใครคิดว่าหนังมันไร้สาระไป อยากดูหนังแบบมีสัญญะ ต้องตีความนัยยะซ่อน มันก็ดูให้เป็นแบบนั้นได้นะ เริ่มตั้งแต่บทบาททหารที่ใส่มาตั้งแต่ต้นเรื่อง คือเข้ามาควบคุมสถานการณ์ผิดปกติของโรคระบาดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยที่คนป่วยและไม่ป่วยไม่ทันตั้งตัว และยังไม่มีคำอธิบายให้มากนักด้วย ก่อนจะกลายเป็นว่าทหารที่น่าจะช่วยเหลือทุกคน ก็ยังติดเชื้อและกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากกำจัดทิ้งเสียเอง สุดท้ายตัวหัวหน้าทหารก็คอร์รัปชั่นสะสมวัคซีนบรรเทาอาการติดเชื้อไว้เองคนเดียว อารมณ์อิงไปการเมืองประเทศหนึ่งได้นะ คุ้น ๆ มั้ยล่ะ
หรือจะมองในเชิงวิเคราะห์ตัวผู้กำกับเองก็ได้เหมือนกัน เพราะเรามีความรู้สึกว่า พี่พชร์ได้ใส่ตัวเองลงไปที่ตัวละครหนึ่งในหนัง ชื่อคูเปอร์ (ตัวละครในเรื่องใช้ชื่อรถหลายตัว) ตัวละครนี้ดูเหมือนพิการทางปัญญา แต่กลับเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยทุกคนให้ผ่านพ้นสถานการณ์คับขันต่าง ๆ มาได้ตลอด ถ้าในเรื่องจะมีฮีโร่สักคนก็คงเป็นคูเปอร์นี่ล่ะ แต่คูเปอร์เองก็เป็นคนที่รู้สึกขาดความรักง่ายชอบอ้อนพี่ชายให้เอาใจเสมอ ตัวละครนี้จึงไม่สมบูรณ์แบบทั้งกายและใจ
มันอาจเป็นความรู้สึกลึก ๆ ของพชร์ที่น้อยใจต่อคำครหาหนังของเขาที่หลายเรื่องเขาก็ตั้งใจทำมาก ๆ นะ และเขาเองก็อาจยอมรับอยู่ลึก ๆ ว่าตัวเองไม่ได้เก่งฉกาจมีความสามารถการทำหนังยอดเยี่ยมเท่าใคร ๆ แต่แล้วยังไงล่ะ ในสถานการณ์ที่วงการหนังไทยซบเซาหนัก ๆ ขนาดนี้ เขาที่ไม่สมบูรณ์แบบนี่ไงล่ะที่เป็นฮีโร่พยายามฉุดคนดูหนังไทยให้เข้าโรงได้มากมาย (ค่ายมูฟวี่ฮีโร่ของเขาอาจตั้งชื่อมาเพราะเหตุนี้) และเป็นเขาอีกนั่นล่ะที่ทำให้เกิดหนังซอมบี้แบบไทย ๆ ให้คนไทยได้มีอย่างประเทศอื่น ๆ เขา อย่างในตอนหนึ่งของหนังตัวละครยังพูดเองเลยว่า ซอมบี้เกาหลีก็มีได้ ญี่ปุ่นก็มีได้ ทำไมเมืองไทยจะมีซอมบี้ไม่ได้ล่ะ! ซึ่งว่ากันตามจริงก็อาจถูกเลยล่ะถ้าพชร์ไม่ทำเรื่องนี้ เราจะมีหนังไทยซอมบี้แนวฝรั่งแบบนี้ให้ดูเหรอ?
เหนือความคาดเดาสุดท้าย – เซอร์ไพร้ส์
หนังมีเซอร์ไพร้ส์ด้วย คือดูไปถึงตอนจบที่เหมือนจะบูชาหนัง วัยเป้ง นักเลงขาสั้นอีกครั้ง ผมถึงกับสบถคำที่พิมพ์ในนี้ไม่ได้ในใจ เฮ้ยพี่ยังจะเอาอีกเหรอ เฮ้ย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ (อยากรู้ก็ไปดูเอาเอง)