สรุปก่อนเลย เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว

คิดว่าคนเขียนบทต้องเป็นคนระดับ สตีเฟน ฮอว์คิง ที่กำลังเมากาวอยู่แน่นอน ตอนดูหนังอยู่คิดเลยว่าแล้วตูจะเล่าเรื่องย่อยังไงเนี่ย ให้เปรียบเทียบมันคือ หนังที่ยกฉากใน The Matrix ที่ นีโอ สนทนาปรัชญากับ สถาปนิก แล้วบวกความยาวพิเศษชั่วโมงครึ่งเข้าไป คนดูเองต้องอัจฉริยะพอนะถึงจะว้าวกับหนังได้ ถึงบอกว่าใครไม่แน่จริงไม่เนิร์ดจริงอย่าเสี่ยงเลย เข้าไปหลับแล้วด่าหนังเปล่า ๆ

มารีวิวยาว ๆ กัน
หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับและเขียนบทที่ไม่มีผลงานดังในบ้านเรามาก่อนอย่าง แอนดรูว์ กอธ มากำกับ (จริง ๆ คือไม่เคยเห็นหนังแกดังที่ไหนมาก่อนเลย) ซึ่งเมื่อแอบไปส่องผลงานเก่า ๆ ของเฮียแกต้องบอกว่าเรื่องนี้ฝีมือก้าวกระโดดขึ้นจากหนังเกรดบีมากทีเดียว หนังยังมีดาราดังที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาบ้างสองคน คือ แซม นีลล์ (Jurassic Park) และ ทอม เพย์น (The Walking Dead) มาแสดงนำ

รวมถึงมีอีเว้นท์โปรโมทหนังที่น่าสนใจมากอย่างการจัดแข่งขันแก้ปริศนาของทีมอัจฉริยะจากทั่วโลกที่ทำร่วมกับ Red Bull (อารมณ์รายการอัจฉริยะข้ามคืนบ้านเรา) นอกจากนั้นในรอบปฐมทัศน์ที่อเมริกาเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยังมีการทดลองให้ผู้ชมกว่า 1,000 คน ใส่เครื่องวัดคลื่นสมองเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์เก็บค่าการรับรู้ระหว่างดูหนังเรื่องนี้พร้อมกันเป็นครั้งแรกในโลกด้วย คือพยายามดึงความเป็นไซไฟเข้ามาโปรโมทเต็มที่เลยล่ะ

ทีมจากสโลวาเนีย ผู้ชนะเลิศการแข่งขันเรดบูลล์มายด์เกมเมอร์ส

การใส่เครื่องตรวจการรับรู้ให้นักวิทยาศาสตร์เก็บข้อมูล

ซึ่งที่ทำแบบนี้ก็คงเพราะความโคตรเนิร์ดของหนังเรื่องนี้เป็นเหตุ มันคือหนังที่จะทำให้ ฉากสนทนาปรัชญากับสถาปนิกใน The Matrix Reloaded (2003), แนวคิดเรื่องย้ายจิตลงคอมพิวเตอร์ในหนังอย่าง Transcendence (2014), ความเหวอแตกใน 2001: A Space Odyssey (1968) และความซับซ้อนในการเล่าเรื่องของ Inception (2010) พวกเหล่านี้กลายเป็นขนมกรุบไปเลย

จะลองพยายามเล่าเรื่องย่อดูนะครับ

ตอนดูตัวอย่างหนังคิดว่าจะได้เจอแบบ คนโหลดจิตสำนึกเข้าไปโลกของเกมแล้วไปต่อสู้กันแบบ The Matrix (1999) ซึ่งไม่ใช่เลย!

หนังเล่าถึงอัจฉริยะคนหนึ่ง (นีลล์) ที่อดีตเคยเป็นนักบวช แต่สิ้นศรัทธาในศาสนา และหวังจะดึงมนุษย์ให้เข้าถึงพระเจ้าผ่านวิทยาศาสตร์ เขาจึงสร้างเครื่อง อีนอค ขึ้นมา เจ้าเครื่องนี้เป็นเหมือนองค์ความรู้รวมที่ดึงประสบการณ์ความสามารถมาจากมนุษย์ทุกคน มันสามารถอยู่ในทุกความเป็นไปได้ ทุกที่ ทุกเวลา จะบอกว่ามีสถานะเหนือกฏฟิสิกส์ทุกอย่างราวพระเจ้าก็ได้ เวลาต่อมาอดีตพระคนนี้ก็กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์โด่งดัง โดยแลกกับการที่เขาสูญเสียการเคลื่อนไหวร่างกายจากโรคอัมพาตไป เขามีเป้าหมายในการดึงเหล่านักเรียนอัจฉริยะมาทดลองใช้อีนอคเพื่อหวังผลให้ทดลองทำให้ตัวเองกลับมาเดินได้อีกครั้ง

อีกด้านหนึ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งก็ได้รับเลือกให้มาทำโครงงานโดยใช้เครื่องอีนอค โดยมีพระเอกของเรา (เพย์น) เป็นหัวหน้าทีม เขาก็ต้องการใช้เครื่องเพื่อเอามนุษย์ทุกคนโหลดเข้าไปเป็นตัวตนหนึ่งเดียวตามความฝันยิ่งใหญ่ของเขาที่จะสร้างชุมชนสุดยอดมนุษย์ ระหว่างนี้ก็มีตัวละครปริศนาสาวผมแดงมาคอยเตือนคอยขัดขวางปรากฏในความจริงและความฝันของหลายตัวละครอยู่เสมอ ซึ่งต่อมาความวิบัติของจริงการการใช้เครื่องนี้สู่ขอบเขตของพระเจ้าก็มาเยือนตามคาด ต่อทั้งพระเอก ต่ออดีตพระอัจฉริยะ และต่อมนุษย์ทุกคน

นอกจากบทโคตรเทพที่ผสมสองแนวคิด ทั้งเรื่องการย้ายจิตไปในคอมพิวเตอร์แล้วสร้างการรับรู้ร่วมกันแบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (อิงกับเรื่องภาวะปรมาตมันของพราหมณ์-ฮินดู) และเรื่องโลกคู่ขนานการคงอยู่ของตัวตนและความเป็นไปได้ของตัวตนอื่น ๆ (ทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์) หนังยังมีลีลาการเล่าที่ผสมการแสดงแบบพวกศิลปินนักเต้นละครเวที กับแนวเพลงเบรกแดนซ์ จนหลายฉากเกือบจะกลายเป็นหนังมิวสิคัลไซไฟอยู่แล้ว คือเรียกว่าหนังมีการทดลองผสมศิลปะร่วมสมัยหลายอย่าง อะไรที่คิดว่าน่าจะเข้าท่า ก็ใส่มาเต็มไปหมดเลย ปริศนาของเรื่องอย่างอีนอคก็มึนงงพอ ๆ กับกล่องดำใน 2001: A Space Odyssey คือโคตรเนิร์ดอ่ะ


เอาเป็นว่าคุณต้องมีคุณสมบัติดังนี้ในการดูหนังเรื่องนี้ให้เข้าใจล่ะ ถ้าคิดว่าเราไม่ใช่คนแบบนี้ผ่าน ๆ ไปเลยครับ

  • สนใจวิทยาศาสตร์ พูดชื่อนักวิทยาศาสตร์และทฤษฎีอย่างเช่น ชโรดิงเจอร์ ขึ้นมา แล้วไม่เอ๋อรับประทาน (วิธีอธิบายในหนังก็โคตรงงบอกเลย ดีนะที่เข้าใจมาก่อนแล้ว)
  • สนใจปรัชญา (หนังพูดเรื่อง deus ex machina มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยนะ นี่ก็โชคดีที่เคยได้ยินมาก่อนแล้ว) ชอบถกเรื่องศาสนา พระเจ้า บลา ๆ ๆ ๆ
  • ดูหนังไซไฟ อ่านนิยายไซไฟ หนังมีมุกหยอกล้อพอประมาณ
  • ใจเปิดกว้างรับการเล่าเรื่องแบบใหม่ ๆ แบบที่เล่าสลับเวลาหน้าหลัง แบบสลับโลกจริงโลกคู่ขนาน คือต้องคนที่ถึงไม่เข้าใจอะไรเลยระหว่างดู ก็ดูต่อไปจนจบได้ (อยากกราบคนตัดต่อมาก ใจพี่ทำด้วยอะไร เปิดเรื่องมาแค่แนะนำตัวละครพี่ก็ทำได้โคตรสับสนแล้ว มันจำเป็นต้องตัดสลับเวลาเพื่อเล่าเลยเหรอ???)

ถึงจะดูเข้าถึงโคตรยาก แต่ถ้าดูเข้าใจเราก็จะเก็ตสาระของหนังที่โคตรไฮ-คอนเซ็ปต์ ที่จะบอกว่าคนเรามีทางเลือกมากมาย ทำไมเราไม่เลือกทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์กับโลกเราล่ะ กล้าที่จะทำดีแม้จะผิดพลาดล้มลง แต่อย่างน้อยมันก็คือการล้มไปข้างหน้า คือความก้าวหน้าล่ะนะ (น้ำตาไหล – ตูเข้าใจได้ไงเนี่ย T^T)

Play video