สรุปก่อนเลย เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว
ตอนดูจบมันมีอารมณ์หลายอย่างมาก คือดีใจที่ผีชีวะในฉบับตามจักรวาลเกมได้นำตัวละครหลักมารวมกันให้ได้หายคิดถึงอย่างที่หนังคนแสดงทำไม่ได้ ส่วนอีกอารมณ์ก็ออกจะ WTF กับความโม้แหลกของพระเอกและชาวคณะ เพราะในขณะที่เกมภาค 7 ยอมรับความจริงและเลิกทวีความโม้ในแบบภาค 5-6 ลงมาจับความสยองที่คนธรรมดาสัมผัสได้แทน หนังอนิเมชั่นนี้ดันทำตัวเป็นเกมผีชีวะภาค 6.5 ที่ไม่สนใจเลยว่าแฟน ๆ เขาเอือมมันขนาดไหนแล้ว แต่ถ้ามองแบบคนดูหนังทั่วไปหนังก็โม้ได้เว่อแอ๊กชั่นรัว ๆ โคตรบันเทิง
คงไม่ใช่แค่ฝั่งหนังคนแสดงที่มี มิลลา โจโววิช แสดงนำเท่านั้นที่จะโม้สะบัดช่อได้ เพราะอนิเมชั่นที่สืบทอดมรดกโดยตรงจากจักรวาลเกมมา ก็ทวีความโม้ขั้นเทพขึ้นทุกภาค ๆ เช่นกัน ตั้งแต่ Resident Evil Degeneration (2008) และ Resident Evil: Damnation (2012) ซึ่งเน้นหนักไปที่เรื่องราวของตัวละคร ลีออน เอส เคนเนดี้ พระเอกตัวหลักจากเกมภาคที่ 2 ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดของแฟรนไชส์ด้วย โดยในภาค Degeneration ลีออนกับ แคลร์ เรดฟิลด์ ตัวหลักจากเกมภาค 2 ต้องเผชิญการก่อการร้ายสนามบินด้วย ที-ไวรัส ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์เมืองแร็กคูนซิตี้ล่มสลาย และหนังเรื่องนี้ยังปูทางไปสู่ตัวเกมภาค 4 ที่ลีออนได้รับภารกิจต้องไปช่วยลูกสาวประธานาธิบดีจาก ลัทธิลอสอิลูมินาดอส ที่นำไวรัสไปพัฒนาต่อ พอหนังภาคสอง Damnation เรื่องราวก็เชื่อมอยู่ระหว่างเกมภาค 5 และ 6 และนำตัวละคร เอด้า หว่อง (ที่กิ๊กกับลีออนในเกมภาค 2) กลับมาร่วมภารกิจกับลีออนในประเทศแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งเราก็ได้เห็นความโลกาวินาศแบบเวิลด์ไวด์ไปในเกมภาคที่ 6 จนเกิดกระแสแอนตี้อย่างเบื่อหน่ายเบา ๆ จากแฟนเกมว่านี่มันจะกลายเป็นยอดมนุษย์กันหมดแล้วนะ! และทำให้ทีมพัฒนาเกมกลับมาทำอะไรที่ง่าย ๆ และเน้นบรรยากาศสยองแบบเดิม ๆ ในเกมภาค 7 ที่ไม่มีเหล่าตัวละครยอดมนุษย์อีกต่อไป ซึ่งออกมาขายตอนต้นปีนี้แทน
มาฉบับออริจินัลซีจีอนิเมชั่นมูฟวี่ภาคนี้ ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เช่นเดิม คือหนังไม่ได้เชื่อมโยงกับสองภาคก่อนหน้า แต่เล่าเหตุการณ์ข้ามมาในอนาคต (น่าจะราว ๆ หลังเกมภาค 6) ที่ ลีออน ได้สูญเสียทีมไปจากการหักหลังของสายข่าวคนหนึ่ง เขารู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับวังวนการไล่ปราบองค์กรก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่องค์กรนี้ล่มก็มีองค์กรใหม่ขึ้นมาอีก (เราเข้าใจนายนะ แค่ดูหนังกับเล่นเกมเรายังเบื่อแทนเลย..ฮา) ก็เลยไปใช้ชีวิตฉ่ำสุราอยู่ในเมืองชนบทแทน
อีกด้าน คริส เรดฟิลด์ พระเอกจากเกมภาค 1 ที่ปัจจุบันยังสังกัดกับหน่วย BSAA ที่เชี่ยวชาญการต่อกรกับอาวุธไวรัสชีวภาพ ก็ได้รับภารกิจในการบุกทลายรังของพ่อค้าอาวุธสงครามคนหนึ่งนามว่า เกลน แอรีส ซึ่งเคยเป็นเป้าหมายในการตามฆ่าของรัฐบาล ทว่าการลอบสังหารในงานแต่งงานของเกลนเมื่อนานมาแล้ว กลับฆ่าทุกคนที่เกลนรัก ยกเว้นเสียแต่เกลนที่รอดตาย! (อืม…) เขาเลยไปนำเอาไวรัสจากลักทธิลอสอิลูมินาดอสมาปรับปรุงให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพที่มีจุดเด่นคือ สามารถแยกแยะเป้าหมายได้ว่าไม่ให้โจมตีใคร และนี่ยังเป็นที่มาของชื่อภาคว่า Vendetta ที่แปลว่าการล้างแค้นหรือควมพยาบาทอันยาวนานด้วย
และอีกทางหนึ่ง รีเบคก้า เชมเบอร์ส ตัวละครสาวในเกมภาค 1 (ที่น่ารักโคตร ๆ ๆ ติดสกิลโมเอะเต็มหลอด) ก็ได้รอดชีวิตมาก็ได้เปลี่ยนสายมาเป็นนักเคมีที่ศึกษาพัฒนาวัคซีนแก้ไวรัส และเธอก็สามารถสังเคราะห์ยาในการยับยั้งไวรัสสำเร็จ เธอจึงตกเป็นเป้าหมายของเกลนไปโดยปริยาย ซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้นำพาให้ตัวละครเอกทั้งสามได้มาพบกันและต้องร่วมมือในการยับยั้งการก่อการร้ายครั้งใหญ่กลางเมืองนิวยอร์กด้วย ซึ่งยังนับว่าเป็นครั้งแรกที่ตัวละคร ลีออน และคริส ได้อยู่ด้วยกันในหนัง และยังเป็นครั้งแรกที่ใช้เมืองจริง ๆ อย่างนิวยอร์กในเนื้อเรื่องด้วย
ตรงนี้บอกเลยครับว่าสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนเกมนี้มาก่อน ดูรู้เรื่องหมดครับ เพราะหนังแทบจะปูเรื่องแบบเบสิกสุด ๆ ให้ผู้ชมหน้าใหม่เข้าใจตามได้โดยตลอด ง่าย ๆ ก็ตัวร้ายตัวใหม่ที่ไม่ต้องไปฟื้นฝอยรู้เรื่องตัวร้ายเก่า ๆ มาก่อนก็เข้าใจที่มาที่ไปได้นี่ล่ะ
หนังได้ผู้กำกับ Ju-on อย่าง ชิมิซึ ทาเคชิ มาทำหน้าที่เอ็กเซ็กคลูทีฟโปรดิวเซอร์ ซึ่งช่วยให้หนังในช่วงครึ่งแรกเต็มไปด้วยบรรยากาศสยองขวัญ ทั้งการบุกรังพ่อค้าอาวุธของคริสต้นเรื่อง จนถึงการบุกห้องแล็บของรีเบคก้าโดยสมุนของเกลน ตรงนี้ประทับใจมากครับมีฉากให้สะดุ้งแกมหลอน ๆ หลายฉากเลย แถมบทสนทนาเชิงดราม่าของคริสและรีเบคก้ากับคนรอบตัวก็ดูมีมิติมาก
ทว่าพอทั้งคู่มารวมทีมกับยอดมนุษย์ ลีออน (ผู้มีสกิลพระเอกแม็กซ์และมีสโลว์โมชั่นเป็นของตนเอง) สำเร็จ หนังก็เข้าสู่โหมดถนัดของแคปคอมทันที คือแอ๊กชั่นมันสะบัดโม้แหลก ฉากการขี่รถดูคาติฟัดกับหมาซอมบี้ (เนื่องจากดูคาติเป็นสปอนเซอร์เราเลยได้เห็นดูคาติเป็นอาวุธเทพในหนังไปเลย) ฉากไล่ล่าที่เราได้เห็นนั้น เป็นเพียงเรียกน้ำย่อยเล็ก ๆ เท่านั้นในการฉีกตำราฟิสิกส์ทั้งมวลของนิวตัน และฉากที่อื้ออึงทั้งโรงสุด ๆ คงไม่พ้นฉากเรลกันถล่มโลก (อันนี้ไปดูกันเองนะครับ..ฮา)
ทั้งหมดทั้งมวลทำให้หนังครึ่งหลังคือความเมามัน ชนิดที่นึกไปว่าแก๊สไวรัสที่ตัวร้ายใช้ในเรื่องแท้จริงแล้วอาจคือแอลเอสดีที่มีผลมาถึงผู้ชมในโรงนี่ด้วย คือมันสนุกแบบลืมความเป็นจริงไปได้เลยล่ะ แต่ถ้าเผลอนึกไปถึงหลักความจริง มันก็ยังมอบความฮากับหน้าตายเก๊กเท่ของพวกตัวเอกระหว่างทำอะไรโม้ ๆ ตรรกะไม่มีไปอีก เรียกว่าเป็นหนังบันเทิงเต็มสูบเลยครับ
ข้อเสีย ไม่แน่ใจว่าเป็นความจงใจให้ดูการ์ตูน ๆ เพื่อลดความรุนแรงหรือไม่ แต่มาตรฐานระดับซีจีนั้นแทบไม่ได้พัฒนาเลย นักจนน่าแปลกใจ เอฟเฟ็กต์เลือดก็แดงแบบสีทีโอเอและดูไม่เหมือนเลือด การเรนเดอร์ตัวละคร มีแค่ส่วนหน้าตาที่ทำได้ดี (แม้จะออกมาเป็นฝรั่งหน้าตี๋ก็ตาม) นอกนั้นส่วนอื่นอย่างเวลาโคลสอัพที่มือก็จะเห็นถึงความไม่พิถีพิถันแต่อย่างใด นี่ยังรวมถึงการอนิเมทการเคลื่อนไหวของตัวละครและเหล่าซอมบี้ที่ประหลาด ๆ ยิ่งฉากที่มีการกระเด็นกระดอน หรือการเคลื่อนไหวที่มีการตกการชน จะยิ่งเห็นชัดว่าการประมวลผลฟิสิกส์ของหนังมีปัญหามาก ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันดูตลกเพิ่มขึ้นไปด้วย พอปัญหาทางซีจีมีมากมันทำให้รู้สึกว่าการที่ตั้งใจมาดูภาพแบบ Dolby Vision version High Dynamic Range (HDR) ในโรงอาจไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น เพราะประมาณนี้ดูจากจอที่บ้านก็น่าจะได้
อีกอย่างคือการสร้างกราฟอารมณ์ที่ไม่คงที่ หนังครึ่งแรกกับครึ่งหลังเหมือนเอาคนสร้างคนละคนมากำกับจากสยองกลายเป็นแอ๊กชั่นล้างผลาญ ปมดราม่าก้เลิกขยี้อย่างสิ้นเชิง ทำให้ช่วงท้ายเป็นปล่อยของช่วงเอามันสุด ๆ แบบจับต้องเนื้อเรื่องได้น้อยมากครับ
แต่กระนั้นก็อย่างที่บอกครับว่าข้อได้เปรียบของโรงมันคือบรรยากาศมืด ๆ และระบบภาพกับเสียงที่ดีกว่าในการส่งเสริมความสยอง และทำให้การดูเอามัน มันก็มันได้สมใจดีจริง ๆ แฟนบอยไม่น่าพลาดครับ