ถึงแม้ว่า The Mummy จะทำรายได้ในประเทศบ้านเกิด (สหรัฐอเมริกา) ไปอย่างน่าผิดหวัง คือ 56.5 ล้านเหรียญ (ทุนสร้าง 125 ล้านเหรียญ) จากการฉาย 2 สัปดาห์ แต่รายได้ทั่วโลกกลับไปได้ดีกว่ามาก คือประมาณ 300 ล้านเหรียญแล้วในขณะนี้ ซึ่งส่งผลดีต่อแฟรนไชส์ Dark Universe ของ Universal เป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ Universal เคยประสบความล้มเหลวมาแล้วกับ Dracula Untold (2014) ที่สตูดิโอคาดหวังจะให้เป็นตัวเปิดแฟรนไชส์ Dark Universe
จากความสำเร็จในรายได้ทั่วโลก เป็นสิ่งตอกย้ำว่าแฟรนไชส์ Dark Universe ไม่จำเป็นต้องอาศัยตลาดในสหรัฐอเมริกาเป็นหลักเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ในแง่ลบออกมามากก็ตามที
ทางด้าน อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน ผู้กำกับ The Mummy ได้กล่าวว่า The Mummy ได้พิสูจน์ตัวของมันเองเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับที่ ทอม ครูซ ยังคงมีศักยภาพขับเคลื่อนภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ในตลาดโลกต่อไปได้ ซึ่งมันได้เข้าฉายทั่วโลกหลังจาก Wonder Woman เพียง 1 สัปดาห์ และสามารถแย่งพื้นที่ความสำเร็จมาได้อย่างสวยงาม
เว็บไซต์ Deadline ได้รายงานว่า
- The Mummy ทำรายได้ต่างประเทศไป 53 ล้านเหรียญ ในสัปดาห์ที่ 2 จากการฉายใน 68 ประเทศ ทำให้มีทำรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 295.6 ล้านเหรียญ
- Wonder Woman ทำรายได้ต่างประเทศไป 39.5 ล้านเหรียญ จากการฉายใน 62 ประเทศ ทำให้มีรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 571.8 ล้านเหรียญ
- Cars 3 ทำรายได้ต่างประเทศไป 21.3 ล้านเหรียญ จากการฉายใน 23 ประเทศ
- Despicable Me 3 (ยังไม่ฉายในสหรัฐอเมริกา) ทำรายได้ต่างประเทศไป 10 ล้านเหรียญ จากการฉายใน 5 ประเทศ
ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ ทอม ครูซ นำแสดงในระยะหลังนั้น ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ๋ ไม่ว่าจะเป็น Mission: Impossible ภาค 4 และ 5 , Jack Reacher, Oblivion และ Edge of Tomorrow
ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของ Dark Universe ถัดจาก The Mummy คือ Bride of Frankenstein ซึ่งกำกับโดย บิล คอนดอน (Beauty and the Beast เวอร์ชั่น 2017) นำแสดงโดยนักแสดงรางวัลออสการ์ คาเบียร์ บาร์เดน ในบท Frankenstein
- The Mummy ฉายแล้ววันนี้
- Bride of Frankenstein มีกำหนดฉาย 14 กุมภาพันธ์ 2019
ข้อมูลอ้างอิง : screenrant