เชื่อว่าหลายคนบอกว่าตัวเองเป็นแฟนผลงาน หรือยกเอาเขาเป็นดิไอดอลของตัวเองแน่ ๆ บางคนถึงกับอุทิศตนเป็นสาวกขนานแท้ Nolanists ด้วยซ้ำ แต่จริง ๆ คุณรู้จัก คริสโตเฟอร์ โนแลน ดีแค่ไหนล่ะ ลองให้คะแนนแฟนพันธุ์แท้ของคุณเองด้วยเรื่องราวเฟ้นเฉพาะคนรู้ใจรู้ตับไตโนแลนทั้ง 11 ข้อนี้กัน ว่าคุณจะเคยรู้มาก่อนหรือไม่ เอ้า! รอช้าอะไรไปดูกันเลยสิแฟนพันธุ์แท้เทพโนแลน
1. เขาตาบอดสี
เอาเรื่องที่แฟนพันธุ์แท้คงบอกว่าเฉย ๆ นะ แต่คนทั่วไปคงอุทาน WTF ออกมา เพราะผู้กำกับหนังขั้นเทพที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าทำหนังได้มีสไตล์และศิลปะมากที่สุดคนหนึ่งของโลก จริงแล้วเขาตาบอดสี!!! โดยโนแลนนั้นตาบอดสีเขียว-แดง ซึ่งเป็นชนิดของตาบอดสีที่พบมากที่สุด ทำให้เขามองเห็นภาพส่วนใหญ่เป็นสีอมฟ้าครับ มีเรื่องเล่าจาก ไบรอัน บาร์นส์ ผู้กำกับที่จ้างโนแลนมาฝึกงานแผนกกล้องหลังจากเขาเพิ่งเรียนจบและยังหางานทำอยู่ ตอนนั้นโนแลนแยกไม่ออกว่าแบตกล้องที่ชาร์จนั้นเต็มหรือยัง เพราะมันแจ้งสถานะไฟเต็มโดยเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ทำให้ตอนหลังเขาเลยโดนสั่งให้ไปทำอย่างอื่นแทนหลังจากทำเอาแบตทั้งกองชาร์จไม่เต็มสักอัน (อันนี้อาจเป็นโจ๊กผสมด้วยนะครับ 555)
2. เขาเรียนจบด้านวรรณกรรมอังกฤษจากลอนดอน และไม่เคยเรียนหนังเลยให้ตายสิ
แม้เขาจะสนใจทำหนังจากหุ่นการ์ตูนของเขาตั้งแต่อายุ 7 ขวบด้วยกล้องฟิล์ม 8 มม.ของพ่อ และเริ่มทำหนังสต็อปโมชั่นเลียนแบบ Star Wars ในชื่อ Space Wars ตอนอายุ 8 ขวบ ก่อนจะตั้งปณิธานจะเป็นคนทำหนังตั้งแต่อายุได้ 11 ปี แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยที่ UCL เขาดันผ่าเลือกเรียนวรรณกรรมอังกฤษแทนเสียนี่สิ คือจริง ๆ แล้วเขาเผยว่าที่เขาเลือกเรียนที่ UCL ก็เพราะที่นั่นมีกลุ่มทำหนังและอุปกรณ์ถ่ายหนังที่เข้มแข็งมาก และในที่สุดเขาก็เข้ามาเป็นแกนนำกลุ่มทำหนังของมหาวิทยาลัยจนได้ ที่นี่เขาได้พบกับ เอ็มม่า โธมัส ว่าที่ภรรยาของเขาในอนาคตด้วย ตลอดเวลาที่เรียนเขาได้ทำหนังสั้นโดยถ่ายฟิล์ม 35 มม. และ 16 มม. อยู่ 2 เรื่อง
คือ Tarantella (1989) และ Larceny (1995) และพอจบก็ได้เข้าฝึกงานตามกองถ่าย จนได้ทำหนังสั้นเรื่อง Doodlebug (1997) ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่เอ็มม่ามาช่วยโปรดิวซ์ก่อนจะกลายเป็นคู่ชีวิตและโปรดิวเซอร์คู่บุญให้หนังแทบทุกเรื่องของโนแลนจนปัจจุบันด้วย ซึ่งแฟนพันธุ์แท้จะรู้ว่าจนถึงปัจจุบันนี้ หนังที่เอ็มม่าไม่ได้โปรดิวซ์ให้สามีมีเพียงหนังสั้น 2 เรื่องสมัยเรียน และ Quay หนังสารคดีสั้นปี 2015 เท่านั้น
3. หนึ่งในบทหนังที่ดีที่สุดที่เขาเคยเขียน ไม่ได้รับการสร้าง
โนแลนนับเป็นคนเขียนบทที่เก่งระดับต้น ๆ ของฮอลลีวู้ด แต่รู้ไหมครับว่ามีบทบางเรื่องเหมือนกันที่แกก็ไม่ได้เอามาทำหนัง เพราะจริง ๆ แล้วก่อนที่จะไปกำกับหนัง Batman Begins (2005) นั้น โนแลนมีโปรเจ็กต์ที่สนใจอยู่หลายตัว หนึ่งในนั้นคือการนำชีวประวัติของมหาเศรษฐีนามว่าโฮเวิร์ด ฮิวส์ มาทำเป็นหนัง โดยวางตัว จิม แคร์รี่ มาแสดงนำ ซึ่งบทที่โนแลนเขียนนั้น เขากล่าวถึงมันว่า คือ หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเคยเขียน เลยทีเดียว แต่ทว่าอย่างที่เรา ๆ ทราบกันดีครับว่า ในปี 2004 มาร์ติน สกอร์เซซี่ ก็ได้ทำหนังจากชีวิตของฮิวส์ออกมาตัดหน้าเสียก่อนแล้ว นั่นก็คือเรื่อง The Aviator ที่มี ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ แสดงนำนั่นล่ะครับ ป๋าโนแลนเลยต้องล้มโปรเจ็กต์ไปอย่างเจ็บใจสุด ๆ
4. เขาคือแฟนพันธุ์แท้วงร็อกอังกฤษอย่าง เรดิโอเฮด
เพราะโตมาในอังกฤษที่เป็นประเทศเกิดของคุณพ่อ โนแลนเลยคุ้นกับวัฒนธรรมทางฝั่งอังกฤษค่อนข้างมาก รวมไปถึงรสนิยมทางดนตรีด้วย เขาชอบผลงานของ เรดิโอเฮด มาก ซึ่งจริง ๆ เขาอยากนำเพลง Paranoid Android มาใช้ในเครดิตจบของหนังเรื่อง Memento (2000) มาก ๆ แต่สู้ค่าลิขสิทธิ์เพลงดังไม่ไหว แต่ก็ยังซื้อเพลงรองอย่าง Treefingers มาเป็นซาวด์แทร็กในหนังจนได้ล่ะนะ แล้วโนแลนน่าจะมาสมใจเอาจริง ๆ ก็ตอนที่ทำหนังเรื่อง The Prestige (2006) เพราะป๋าได้เชิญเพลง Analyse ของ ธอม ยอร์ก นักร้องนักแต่งเพลงของวงเรดิโอเฮดมาใช้ในเครดิตจบได้สำเร็จครับ และไม่ใช่แค่โนแลนคนพี่เท่านั้นนะ โจนาธาน โนแลน คนน้องชายเองก็รักเรดิโอเฮดมาก เขาใช้เพลง No Surprises มาบรรเลงในฉากเปียโนของร้านเหล้า ที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของซีรีส์ดังของเขาอย่าง West World ในตอนที่ 2 ด้วยครับ
5. เขาปฏิเสธที่จะใช้ Second Unit ในการถ่ายทำหนัง
ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งโนแลนได้บอกว่าเขาชอบที่จะถ่ายหนังด้วยกล้องตัวเดียว ด้วยกองถ่ายเพียงกองเดียว เพื่อจะได้คุมภาพที่ออกมาด้วยตนเองทั้งหมด เพราะถ้าเขาใช้กองย่อยช่วยถ่ายในช็อตรอง ๆ เพื่อให้หนังลดต้นทุนและประหยัดเวลาอย่างที่กองหนังทั่วไปทำ มันจะทำให้เขาหงุดหงิดใจในหน้าที่ผู้กำกับของเขา ที่ไม่ได้ทำหนังทั้งเรื่องออกมาเองกับมือ
จริง ๆ นอกจากเรื่องนี้โนแลนก็เป็นพวกอนุรักษ์นิยมในการถ่ายหนังแบบสุด ๆ ในเรื่องอื่นด้วย ทั้งการต่อต้านระบบกล้องดิจิตอล ความต้องการใช้ฟิล์มฟอร์แมต 70 มม. แบบหนังใหญ่ยุคเก่าที่ให้พื้นที่และรายละเอียดภาพสูงที่สุด ซึ่งลากยาวไปถึงการแปลงเป็นภาพที่พี่แกไม่สแกนฟิล์มเป็นดิจิตอลแต่ใช้การล้างฟิล์มด้วยสารเคมีแบบดั้งเดิมด้วย นอกจากนี้ยังมีการพึ่งพาซีจีหรือคอมพิวเตอร์น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้อีก ใครเคยดูเบื้องหลัง Inception (2010) ที่โนแลนทำฉากโถงทางเดินทั้งห้องหมุนจริง ๆ มาแล้วคงพอเข้าใจนะครับ อ่อ แฟนพันธุ์แท้ย่อมต้องรู้อีกล่ะว่าป๋าแกไม่ชอบใช้โทรศัพท์มือถือตลอดจนอีเมลด้วย อนุรักษ์นิยมสุด ๆ ไปเลย
6. เขาชอบเอาชื่อลูกตัวเองมาใช้ตั้งชื่อหนัง
โนแลนค่อนข้างรักษาความลับเรื่องชีวิตส่วนตัวพอสมควร แต่เราก็ทราบครับว่าโนแลนมีลูกชาย 3 คนและลูกสาว 1 คน คือ รอรี่, โอลิเวอร์, แม็กนัส และ ฟลอร่า ซึ่งในการถ่ายทำหนังแต่ละเรื่อง ก็มักจะมีการตั้งชื่อปลอม ๆ มาใช้แทนชื่อหนังจริงเพื่อป้องกันโปรเจ็กต์รั่วไหลไป ป๋าของเราก็เลยมักใช้ชื่อลูกนี่ล่ะครับมาตั้งชื่อปลอม ๆ ให้หนังเสียเลย ทั้ง Rory’s First Kiss หรือ จูบแรกของรอรี่ ที่ต่อมาก็คือ The Dark Knight (2008), Oliver’s Arrow หรือลูกศรของโอลิเวอร์ ที่กลายมาเป็น Inception (2010), Magnus Rex หรือราชันย์แม็กนัส สำหรับเรื่อง The Dark Knight Rises (2012) และสุดท้ายกับ Flora’s Letter หรือจดหมายของฟลอร่าที่จริง ๆ แล้วคือหนัง Interstellar (2014)
ซึ่งพอมาคิดดูดี ๆ ชื่อปลอมพวกนี้ก็สื่อถึงตัวหนังจริง ๆ อย่างแยบยลอยู่เหมือนกันนะ อย่างจดหมายของฟลอร่าก็หมายถึงการติดต่อกันระหว่าพ่อกับลูกสาวที่อยู่ห่างกันคนละจักรวาลด้วย คือเทพก็ยังเป็นเทพวันยังค่ำล่ะนะ
7. เขาคือผู้กำกับ 1 ใน 2 คนบนโลกที่มีหนังรายได้เกิน 1 พันล้านเหรียญถึง 2 เรื่อง
บอกก่อนเลยว่าผู้กำกับคนแรกนั่นก็คือ เจมส์ คาเมรอน ครับ โดยเขาเป็นเจ้าของหนังที่ทำรายได้ทะลุพันล้านเหรียญจากการฉายทั่วโลก 2 เรื่องคือ Titanic(1997) และ Avatar (2009) นั่นเอง เดาไม่ยากสินะ ส่วนเทพโนแลนของเรานั้นมีหนังในระดับเดียวกันนี้ 2 เรื่องเช่นกัน ก็คือ The Dark Knight (2008) และ The Dark Knight Rises (2012) นั่นเองงงง แต่ความเหนือของโนแลนก็คือเขาเป็นผู้กำกับเพียงคนเดียวที่มีหนังระดับพันล้านเหรียญถึง 2 เรื่อง และทั้ง 2 เรื่องก็ไม่ได้เข้าฉายในระบบ 3 มิติเลยด้วย คือไม่ต้องเอาเทคนิคการฉายพิเศษมายั่ว แค่ตัวหนังเพียว ๆ ก็พอแล้วสำหรับเทพ
8. เขาไม่เคยได้รับรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำเลย
ถึงหนังของโนแลนที่ผ่านมาจะได้รับคำชมระดับสุดยอดจากผู้ชมและนักวิจารณ์ และแม้หนังของเขาจะสามารถคว้าออสการ์มาได้ถึง 7 รางวัล ทว่าก็เป็นรางวัลอื่น ๆ เช่นถ่ายภาพ ตัดต่อ เสียง หรือเทคนิคพิเศษ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับการกำกับหรือเขียนบทของเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นยังรวมถึงฝั่งเวทีลูกโลกทองคำด้วยเช่นกัน ก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจพอสมควรที่ผลงานระดับพระเจ้าทั้งงานเขียนบทและกำกับของเขาจะยังไม่สามารถทำให้เขาได้ออสการ์มาครองเป็นส่วนตัวเลย ก็มาหวังกับหนังใหม่อย่าง Dunkirk นี่ล่ะน่าลุ้นสุดแล้ว
9. เขามีพี่ชายที่เป็นอาชญากร
ถ้าพูดถึงพี่น้องโนแลน เราก็มักนึกถึง คริสโตเฟอร์ หรือป๋าโนแลนคนพี่ และ โจนาธาน คนน้องที่มักร่วมเขียนบทสุดเทพอีกคน แต่ทว่าจริง ๆ แล้วทั้งคู่มีพี่ชายคนโตอีกหนึ่งคนครับ นั่นก็คือ แมธธิว โนแลน โดยพี่แมธธิวนี่ก็ไม่ได้ธรรมดาเลยครับ เขาเป็นนักธุรกิจที่เข้าไปพัวพันกับแวดวงการเงินของพวกมีอิทธิพลในคอสตาริกาเข้า โดยในปี 2005 เขาถูกเชื่อว่าจ้างวานพนักงานโรงแรมคนหนึ่งในการช่วยลักพาตัวเรียกค่าไถ่และฆ่าปิดปากนักธุรกิจคนหนึ่ง
ซึ่งต่อมาพนักงานโรงแรมคนนั้นถูกจับได้ และพี่แมธธิวก็หลบหนีการจับกุมไปถึง 4 ปี จนกระทั่งมาถูกเอฟบีไอจับได้ในปี 2009 จากคดีล้มละลาย ซึ่งแม้หลักฐานในคดีจ้างวานฆ่าจะอ่อนจนศาลยกฟ้องไปแต่เขาก็ยังต้องติดคุกจากคดีล้มละลายอยู่ดีครับ และพี่แกก็ไม่ได้สิ้นลายง่าย ๆ นะ เพราะพี่แกคิดแหกคุกด้วยครับ โดยเจ้าหน้าที่ตรวจพบเชือกที่สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างไม่เคยเจอมาก่อนยาวถึง 31 ฟุตซึ่งทำจากผ้าคลุมเตียง ตลอดจนใบมีดโกนและคลิปหนีบกระดาษสำหรับการสะเดาะกุญแจมือด้วย แมธธิวเลยโดนโทษอาญาต้องติดคุกเพิ่มไปอีก นั่นร้ายจริง ๆ มองอีกแง่เขาก็มีความอัจฉริยะไม่แพ้น้อง ๆ เสียดายที่เขาเอามาใช้ในทางที่ผิดล่ะนะ อ่อเกร็ดอีกนิดคือ พี่แมธธิวมีลูกชาย 2 คน แกตั้งชื่อให้ว่า ปีเตอร์ กับ ปาร์กเกอร์ ครับ (ชอบฮีโร่ขนาดนี้ไม่น่าทำตัวแย่เลยน้า)
10. เขามีเครดิตในหนังชิงออสการ์ตั้งแต่ปี 1999 และไม่ใช่หนังของเขาด้วย
แฟนพันธุ์แท้บางคนอาจคิดว่าหนังเรื่อง Memento (2000) คือหนังเรื่องแรกที่มีชื่อเขาในเครดิตหนังและเข้าชิงรางวัลออสการ์ แต่แท้จริงแล้วเขาเคยมีเครดิตในหนังสารคดีเข้าชิงออสการ์เรื่อง Genghis Blues (1999) ของเพื่อนซี้อย่าง โรโค เบลิก มาก่อนแล้วครับ โดยโนแลนได้เครดิตในส่วนของผู้ช่วยผู้ตัดต่อในเรื่องนี้ด้วย หนังชนะรางวัลขวัญใจผู้เข้าชมในเทศกาลหนังซันแดนซ์ประเภทหนังสารคดี ก่อนจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในเวลาต่อมาครับ แต่ก็น่าเสียดายที่พลาดไป
11. เขาคือผู้กำกับคนที่ 2 ในโลกที่ได้รับข้อเสนอรับเงิน 20% จากรายได้ของหนัง
จริง ๆ ข้อเสนอแบบนี้สตูดิโอมักจะมอบให้กับดาราระดับซูเปอร์สตาร์ อย่าง ทอม ครุยส์ หรือทอม แฮงก์ นั่นล่ะครับ เพื่อเป็นการจูงใจให้มาเล่นหนัง เพราะดาราแม่เหล็กระดับนี้สามารถรับประกันความสำเร็จของหนังได้ในระดับหนึ่งได้เลยล่ะ แต่กระนั้นผู้กำกับคนแรกที่ได้รับข้อเสนอเงินค่าตัว 20 ล้าน พร้อมกับได้รับเงินแถมจาก 20% ของยอดรายได้ที่หนังสามารถทำได้ทั้งหมดด้วย นั่นก็คือ ปีเตอร์ แจ็กสัน ในตอนที่เขากำกับหนังอย่าง King Kong (2005) ด้วยบารมีชื่อแกที่ขายได้ทั่วโลกจากผลงานล่าสุดตอนนั้นอย่างไตรภาค The Lord of the Rings นั่นเอง
ซึ่งบารมีของป๋าโนแลนในตอนนี้ก็มีค่าในระดับที่สตูดิโอจะต้องจีบเอาใจมาก ๆ เพื่อให้ป๋าแกมาทำหนังฮิตให้กับทางค่ายหนังเช่นกันครับ ซึ่งข้อเสนอนี้ได้ถูกเสนอให้กับโนแลนเพื่อกำกับหนังเรื่องล่าสุด Dunkirk ที่เราจะได้รับชมกันนี่เอง คิดว่าไม่น่าพลาดสำหรับหนังเรื่องนี้ ป๋าน่าจะฟันรายได้รวมไปร่วมร้อยล้านเหรียญแน่นอน เรียกว่าเรื่องนี้เตรียมลุ้นทั้งเงินลุ้นทั้งกล่องเลยล่ะครับ สาวกตัวจริงก็ห้ามพลาดเลยต้องชาบูกันในโรงไอแม็กซ์ฟิล์ม 70 มม. ที่มีฉายที่เดียวในไทยคือพารากอนกันให้ได้นะครับ