เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ตั้งคำถามกับตัวเองก่อนเข้าไปดู Dunkirk ว่าเสด็จพ่อ Christopher Nolan จะเล่าเรื่องของพลทหารที่ต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอดกลับบ้านไปหาลูกเมียได้อย่างไรให้มัน ‘ขายได้’ และติดตราตรึงใจคนดูให้พูดถึงต่อจากนี้เป็นเดือน ๆ จากกรอบเวลาและโจทย์ที่มีให้ โดยไม่ให้ดูเป็นงานสารคดีเกินไป

มาวันนี้โจทย์ของ Revolt หนังฟอร์มเล็กนอกสายตาจากแดนกังหันลมก็ดันมีบางส่วนคลับคล้ายกันอย่างบังเอิญ แต่เอาเข้าจริง ๆ เส้นเรื่องมันต่างกันมาก ตรงที่เรื่องแรกเป็นการ เอาตัวรอดยังไงให้ลุ้นสนุก แต่กับ Revolt นี้มันเป็นเรื่องของคำถามที่ว่าตัวหนังจะ ‘ปราบเอเลียนยังไงให้มันไม่น่าเบื่อ’ ได้ (วะ) เพราะช่วงหลังเจอหนังแนว Disaster คอมโบกันต่อเนื่องจนประสาทจะแดกแล้ว (ฮา)

หนังมันเล่าเรื่องอะไร?

Revolt มันพูดถึงเรื่องราวของมนุษย์โลกกลุ่มท้าย ๆ ที่หลุดรอดจากสงครามในโลกอนาคตจากการรุกรานของพวกเอเลี่ยนสองขา ในสภาวะที่มนุษย์ทั่วโลกถูกล้างเผ่าพันธุ์จนเหลือเพียงหยิบมือ ‘โบ’ (Lee Pace) ทหารอเมริกันฝีมือดีตัวเอกของเรื่องหมดสติจากแรงระเบิดรุนแรงที่ต่อสู้กับกลุ่มเอเลี่ยน และเมื่อฟื้นขึ้นมาเขาก็ได้พบว่าตัวเองติดอยู่ในห้องขังแห่งหนึ่งในเคนยา พร้อมกับ ‘นาเดีย’ (Bérénice Marlohe) แพทย์ทหารสาวสวยที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน แต่การลืมตาหนนี้กลับทำให้ โบ ลืมความทรงจำไปชั่วขณะ แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นระหว่างที่ทั้งสองต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดอย่างกระเสือกกระสน โบ ก็ค่อย ๆ ระลึกชาติและตระหนักว่า เขาจำเป็นจะต้องมีชีวิตกลับไปฐานที่มั่นสุดท้ายของกองทัพทหารอเมริกันที่กรุงไนโรบี ซึ่งเป็นที่หลบภัยที่ปลอดภัยที่สุดในโมงยามนี้

มีอะไรแตกต่างจากหนังเอเลียนเจ้าอื่นไหม?

ตัวละครหลักในเรื่องอย่างที่เกริ่นไปนั่นแหละคือทั้งหมดของหนังเรื่องนี้แล้ว ทั้งเรื่องมันคือเรียลลิตี้ตามติดชีวิตผัวเมีย (เฉพาะกิจ) คู่นี้ ซึ่งจากซีนแรก ๆ ที่ทั้งคู่ได้เข้าฉากด้วยกัน บอกเลยว่าสายตาของ นาเดีย นี่ไม่ต้องบอกก็เห็นมาแต่ไกลว่า ‘อยากได้อยากโดน’ ทหารโบ มากกว่าวิ่งหนีเอเลียนอีก (ฮา) คือด้วยภาพลักษณ์ของ Lee Pace ในเรื่องนี้เองก็ต้องบอกว่าหล่อเท่วัวตายควายล้มมาก เวลาถือปืนกล ท่าทางเตะต่อยโจรกระจอกตามท้องเรื่องมันดูเท่ ทะมัดทะแมง ดูแล้วเชื่อว่าเป็นทหารที่ผ่านการเคี่ยวฝึกมาอย่างหนัก

ขณะที่ นาเดีย เองก็เรียกว่ามีเสน่ห์แบบห้าว ๆ แต่ยังดูเซ็กซี่มาก ๆ บทบาทในเรื่องนี้แม้จะไม่โฉบเฉี่ยวเท่าตอนเป็นสาวบอนด์ใน Skyfall แต่ดูมีเสน่ห์มากกว่า Kill Switch เรียกว่าเรื่องนี้ได้เธอได้บทเด่นจนได้มีโอกาสสังเกตว่า บุคลิกของเธอดูคล้ายกับ Michael Rodriguez ในบทของ เลตตี คนรักของพี่ดอมมาก ๆ

มุกที่ Revolt เอามาใช้เล่าเรื่องคือ การที่ความทรงจำของ โบ ค่อย ๆ กลับมาระหว่างทางต่อสู้เอาตัวรอด หนังมีทิ้งเมสเซจหยอดไว้เป็นพัก ๆ คล้ายจะบอกใบ้และให้คนดูเดาทางตามพระเอกไปพร้อม ๆ กัน ในขณะเดียวกัน ฉากบู๊แอ็คชันที่จะหนักไปทางวิ่งหนีเสียมากกว่า ตัวหนังเก็บรายละเอียดในเรื่องของความสูญเสีย เจ็บป่วยล้มตายรายทางได้ดูน่าเวทนาดี เอฟเฟกต์หลายจุดทำได้น่าพอใจระดับหนึ่ง แต่ก็มีหลายจุดเหมือนกันที่มันดูปวกเปียกเกินคาดไปหน่อยจนน่าเสียดายไปหลายฉาก

แต่ที่เสียดายกว่านั้นคือเมื่อมาถึงครึ่งเรื่อง ตัวหนังกลับยังจับต้นชนปลายไม่ชัดเจน กลายเป็นว่าจะแอ็คชันบู๊ล้างผลาญยิงกันตูมตามก็ไม่ใช่ จะไซไฟแฟนตาซีให้มันเวอร์วังบันเทิงลูกกะตาหน่อยก็ไม่มี จะดรามา จะขายเรื่องราวความคับแค้นที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ปมครอบครัวที่จากมารึ ก็ไม่! ไม่มีแบ็คกราวน์ใด ๆ ตัวละครทั้งคู่เลยกลายเป็นจับต้องไม่ได้ แบนราบเรียบ แม้แต่เอเลียนกูยังไม่รู้เลยมึงเป็นใครมาจากไหน เห็นโลกมนุษย์เป็นเซเว่นหรืออะไร เหมือนมึงหิวเมื่อไหร่ก็แวะมา โอเคว่าบางช่วงยอมรับว่าหนังมันเริ่มกดดันคนดูได้ จนแอบนึกถึงบรรยากาศของ Hurt Locker คือดูแล้วเริ่มสนุก เริ่มมีชีวิตชีวา แต่พอจะเริ่มอิน ถึงจุดที่ควรจะไปต่อหรือเล่นฉากยาวได้เลย หนังกลับเลือกไปพูดถึงประเด็นอะไรก็ไม่รู้ซะงั้น ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็เรียก ‘ขี้ไม่สุด’ สักทาง ปล่อยคนดูค้างเติ่งอีกแล้ว (ฮา)

สรุปว่ามันน่าดูไหม?

Revolt เป็นหนังเกรดบีร้อยนาทีที่ดูเอาสนุกฆ่าเวลารอแฟนนั่งทำเล็บก็ถือว่าพอกล้อมแกล้มไปได้ อย่างน้อยความเท่และเซ็กซี่ของพระนางในเรื่องก็ถือว่าแคสมาได้ดี แม้ว่าทั้งคู่จะเล่นออกมาแล้วอินเนอร์ไม่ค่อยชัด แต่ตัวหนังก็มีจุดหวือหวาวูบวาบทำเซอร์ไพรสให้คนดูอยู่เป็นระยะ ยังไงก็ได้ความบันเทิงกลับออกไปจากโรงอยู่แล้วแน่นอน

สุดท้ายทีมงานแบไต๋ต้องขอขอบคุณอภินันทนาการตั๋วหนังดี ๆ เรื่องนี้จาก Mono Film ด้วยครับ 

Play video