เป็นหนังที่ดูแล้วลุ้นมาก ไม่ใช่ลุ้นผีออกมานะ แต่ลุ้นให้มันออกมาดีเหอะ สนุกเหอะ เอาใจช่วยมาก ๆ อยากให้ออกมาเป็นหนังเล็กสร้างกระแสได้อย่าง It Follows หรือ Babadook แต่ยิ่งดูหนทางก็ยิ่งจะห่างไกลไปในทิศตรงกันข้าม เรื่องราวของหนังน่าจะถูกบอกเล่ามาหมดแล้วในตัวอย่างหนัง ที่เพิ่มเติมและเป็นจุดน่าสนใจของหนังก็คือ จิม และ จูลี่ ไม่ได้ไปเจอศาลพระภูมิร้างโดยบังเอิญ แต่โดนชายอังกฤษที่มาตีสนิทแล้ววางแผนล่อหลอกให้ทั้งคู่ไปเจอศาลของวาตาเบ แล้วทิ้ง 2 คนนั้นไว้ ถือว่าเป็นการเปิดเรื่องที่น่าสนใจ ว่าจุดประสงค์ของ 2 คนนั้นคืออะไร ทำให้ชวนติดตามแต่คำตอบของปริศนาก็มาเร็วมาก ที่เหลือครึ่งหลังก็เป็นวีรกรรมจองเวรของผีวาตาเบ และ ความพยายามกำจัดผีของจิม
ด้วยความที่เป็นหนังที่สร้างโดยสตูดิโอจากฮอลลีวู้ดที่มาเล่าเรื่องราวผีไทย ก็เลยเป็นจุดที่น่าสนใจของหนังที่เราจะได้ดูความน่ากลัวของผีไทย ผ่านมุมมองและทีมงานสร้างมาตรฐานฮอลลีวู้ด ซึ่งรวมกันแล้วมันต้องสยองมากแน่ ๆ และทางสหมงคลเองก็ใช้ตรงนี้เป็นจุดขายของหนังเช่นกัน ยิ่งสร้างความคาดหวังให้กับคนดู สิ่งที่ได้เห็นความแตกต่างในฐานะทีมงานฮอลลีวู้ดคือมุมมอง งานภาพ มุมกล้อง เป็นหนังที่มีเจตนาดีมาก ในฉากเปิดถ่ายทัศนียภาพสวย ๆ ของกรุงเทพฯ เหมือนกับเป็นหนังโฆษณาการท่องเที่ยว แต่ก็แค่นั้นแหละที่ดูมีความแตกต่าง แต่กับมาตรฐานของหนังผี ก็ไม่ได้โดดเด่นหรือแตกต่างจากหนังผีไทยเลย ไปได้ไม่ถึง “คนเห็นผี” หรือ “ชัตเตอร์” ด้วยซ้ำ ผมให้อยู่ในระดับเดียวกับหนังผีค่ายไฟว์สตาร์ในช่วงที่ทำออกมาเยอะ ๆ นั่นล่ะ
สำหรับคอหนังผีถ้าอยากได้กรี๊ด ได้ตกใจ ก็มีให้ครบนะ หนังน่ากลัวจริง ผีวาตาเบออกแบบมาน่ากลัว ด้วยความที่ผมขาวกระเซิงหน้าเละ ตาแดง ฉากเปิดตัวที่นั่งบนศาลแล้ว “แว่” ใส่ ฉากนี้น่ากลัวจริง ขนาดเห็นในตัวอย่างหลายครั้งแล้ว มาดูในโรงอีกครั้งก็ยังสะดุ้งนะ การปรากฎตัวครั้งแรก ๆ ของวาตาเบ ชวนลุ้นชวนสะดุ้งอย่างได้ผล ฉากตุ้งแช่ก็มีมาเนือง ๆ ฉากหลอกยาว ๆ ในโรงแรมถือว่าเป็นฉากดีสุดน่ากลัวสุดของเรื่อง แต่พอหลังจากนี้ไปมันเริ่มถี่เกิน และเริ่มเฝือโดยเฉพาะฉากหลัง ๆ มาแบบไม่มีอินโทรเลย นึกจะมาก็มาอารมณ์สยองก็เริ่มลดน้อยลงไป ที่น่าผิดหวังอีกจุดก็คือ “วาตาเบ” ไม่ใช่ผีไทยนะครับ ก็ตัดไปเลยความคาดหวังที่ว่านี่คือหนังผีไทยในมุมมองฮอลลีวู้ด เป็นผีต่างชาติที่มาหลอกคนในประเทศไทย แต่มาอยู่ศาลเจ้าแบบไทย แล้วใช้ทั้งพระไทย , หมอผีไทยมาปราบ ตรรกะมันสับสนงงงวยอยู่นะ
จุดด้อยที่สุดของ Ghost House ก็เช่นเดียวกับหนังอีกหลาย ๆ เรื่องคือ “บท” ที่มีแต่ความบังเอิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า บังเอิญทีแรก ผมก็เอาใจช่วยอยู่นะ แค่ทีเดียวมันนิดหน่อยน่ะ แต่แล้วพอเข้าครึ่งหลังก็บังเอิญอีก บังเอิญอีก…..จบกัน ครึ่งหลังนี่ถ้าเป็นกราฟก็พาหนังวิ่งดิ่งลงมาก โดยเฉพาะไคลแมกซ์ของหนัง ถ้าหาทางออกให้หนังได้สวย ๆ ก็น่าจะพลิกสถานการณ์ดึงหนังกลับมาได้ แต่กลับกลายเป็นฉากที่มั่วมาก ลงเอยแบบ “ห๊ะ!!แค่เนี้ยเหรอ” หรืออาจจะเพราะเป็นคนไทยมั้งเลยชินชากับภาพหมอผีสู้กับผี ถ้าฝรั่งดูก็อาจจะแปลกตาล่ะมั้ง
หนังมีฉากที่ผิดคาดนะ และไม่คิดว่าจะใส่มาด้วย คือฉากเซ็กส์ หนีผี หนีผี มาซั่มกันดีฝ่า สเกาต์ เทย์เลอร์ คอมป์ตัน จาก Haloween รีเมค มารับบท จูลี่ นางเอกของเรื่อง ได้มีบทพูดอยู่ครึ่งเรื่อง พอโดนผีเข้าก็เหลือแต่บทให้ทำหน้าหลอน หน้าเหวออย่างเดียว สเกาต์ โชว์หน่มน้มหลายฉากนะครับ (ผิดคาดอีกครั้งครับ………ที่มันเล็ก)
ไมเคิล เอส.นิว ดาราไทยที่มารับบท “โกโก้” ไกด์ไทย เป็นอีกหนึ่งบทนำของเรื่องเลย พอมาอ่านประวัติไมเคิล นี่น่าชื่นชมมากครับ เขาเป็นลูกครึ่งไทย-แคนาเดียน จบวิศวกรรมโยธา จากมหาวิทยาลัย วอเตอร์ลู,ออนตาริโอ แต่บทโกโก้ ต้องพูดโบรเค็นอิงลิชแบบสำเนียงไทยบ้าน ๆ ดูแล้วเชื่อว่านี่มันไกด์ตามถนนข้าวสารเลย
ดาราดังสุดในเรื่องนี้คือ มาร์ค บูน จูเนียร์ บอกชื่อไม่อ๋อกันหรอกแต่คอหนังฮอลลีวู้ดเห็นหน้าก็จำได้แน่ เพราะมาร์ค นี่ถือว่าเป็นตัวประกอบเบอร์ต้น ๆ ของฮอลลีวู้ดเลย เล่นหนังมาแล้ว 148 เรื่อง บท “รีโน” ในเรื่องนี้โผล่มามีบทบาทสำคัญในครึ่งหลัง
สรุปว่า Ghost House อยู่ในมาตรฐานหนังผีไทยสักเรื่อง ที่น่ากลัว ได้สะดุ้ง แต่ทีมงานจากฮอลลีวู้ดไม่ได้สร้างความแตกต่างให้ดูเหนือจากหนังผีที่เมดอินไทยแลนด์กันเอง เป็นหนังที่ดูจบแล้วรู้สึกภูมิใจว่าฝีมือผู้กำกับไทยหลาย ๆ คนก็เก่งกว่าผู้กำกับฝรั่งนะ