สรุปก่อนเลย เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว
เป็นงานสารคดีที่บอกเลยว่า สวยมากกกกก หลายฉากนี่เหมือนจัดวางไว้เลยทั้งจังหวะแสงลง ทั้งองค์ประกอบในฉาก คือแบบ โหหหห ต่อให้เป็นหนังธรรมดาก็ถือว่าฝ่ายศิลป์เก่งเลยล่ะ หนังเล่าเรื่องได้สนุกมากอาจเพราะเจ้าของเรื่องนั้นน่าสนใจด้วย ทั้งอุปนิสัยบุคลิกและการพูดจา แกตลกได้ ธรรมะได้ เป็นนักธุรกิจคมคายได้อีก ที่สำคัญเรื่องราวของเขาก็น่าสนใจจากเด็กบ้านนอกที่อยากเข้าเมืองกรุงแล้วบังเอิญได้งานฉายหนัง ทำไปทำมาจนล่อไปเป็นสิบ ๆ ปี สุดท้ายโรงหนังเลิกธุรกิจจะทุบทิ้งแกต้องกลับบ้านไปแบบงง ๆ ชีวิต ลองไปดูเหอะเพลินมาก ดูแค่ความสวยของภาพยังอิ่ม เรื่องก็สนุกไม่น่าหาวอะไรเลย
นิรันดร์ราตรี หรือชื่อฝรั่งว่า Phantom of Illumination เป็นงานสารคดีที่ได้ยินชื่อหนาหูมากช่วงต้นปีในหน้าข่าวบันเทิงและแวดวงคนรักหนังไทย เพราะสามารถไปคว้ารางวัลใหญ่จาก เทศกาลภาพยนตร์สารคดี CPH:DOX (Copenhagen Documentary Film Festival) ประเทศเดนมาร์ก ผลงานการเล่าเรื่องโดย เบสท์ – วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย จากกลุ่มศิลปินอินดี้นาม Eyedropper Fill ที่ถือว่าพอมีชื่อเป็นที่รู้จักในวงนักดูหนังสั้นพอสมควรเพราะเขาเคยมีผลงานที่ได้รับรางวัลขวัญใจมหาชนจากเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 19 มาแล้วจากเรื่อง Dreamscape ที่เป็นหนังทดลองรูปแบบสารคดีอันหนึ่ง
หนังของเบสท์นั้นมีความเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะเรื่องแสง ซึ่งเราจะเห็นจากโปรเจ็กต์ของเขาที่เล่นกับแสงค่อนข้างมาก ยิ่งจะเด่นชัดว่าเขาเป็นคนที่มองเห็นแสงในฉากได้อย่างเด็ดขาดคนหนึ่งจากการที่เขาถ่ายทำและกำกับเรื่องราวแบบสารคดีได้อย่างสวยงาม ซึ่งหนังเรื่องนี้จริง ๆ ก็เป็นงานที่ต่อยอดมาจากหนังสั้นเรื่องหนึ่งของเขาคือ ยามเมื่อแสงดับลา (Lucid Reminiscence) ที่ว่าด้วยการล้มหายไปของโรงหนังในกรุงเทพ ดังเช่นแสงจากเครื่องฉายที่ลาลับหายไป เขาสามารถนำกล้องเข้าไปสัมผัสบรรยากาศได้อย่างมีมนต์มาก ๆ คนหนึ่งเลยครับ
สำหรับนิรันดร์ราตรี เป็นหนังที่เบสท์ใช้เวลาถ่ายตามรายสะดวก ติดตามชีวิตของ ฤทธิ์ คนฉายหนังประจำโรงหนังธนบุรีรามา กว่า 2 ปี ซึ่งใครอยู่ย่านปิ่นเกล้าน่าจะคุ้นเคยได้ผ่านไปมาเป็นอย่างดี และเป็นที่ทราบกันดีว่าโรงหนังได้ปิดกิจการและรื้อถอนโรงหนังไปเป็นที่เรียบร้อย ฤทธิ์เด็กหนุ่มชาวนาจากบ้านนอกที่หวังจะมาหาความสนุกในเมืองใหญ่ จนได้บังเอิญมารับงานฉายหนังและทำติดต่อกันมากว่า 25 ปีโดยไม่รู้ตัว ในวัยกลางคน ฤทธิ์ จึงกลายเป็นคนที่ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นเลยนอกจากการฉายหนัง เขาเริ่มติดเหล้าและหันหน้าเข้าหาธรรมะ ชื่ออังกฤษของหนังจึงถ่ายทอดความเป็นฤทธิ์ได้อย่างดีว่าเขาไม่ต่างจาก แฟนธอมออฟดิโอเปร่า แห่งโรงหนังเก่าเลยทีเดียว
โดยทั้งเรื่องจึงเป็นเส้นชีวิตและความคิดอันน่าสนใจของฤทธิ์ที่สะท้อนประวัติศาสตร์ของโรงหนังเก่าแก่ในไทย หนังไทยหนังเทศยุคต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป อุตสาหกรรมโรงหนังจากมุมมองของคนคลุกคลีที่อ่านขาดและทราบถึงโชคชะตาตนเองล่วงหน้ามาหลายปี แต่ก็พยายามสู้ทนหวังว่าจะไปได้รอดท่ามกลางการแข่งขันอันรุนแรงของยุคสมัย มันมีทั้งเรื่องราวตลกขำขันที่ตลกมาก ๆ ความเศร้า ความฝัน ความหวัง หรือแม้แต่ปรัชญาการเกิด-ดับ ความเชื่อ ความเหนือจริง (ตอนพี่แกพูดเรื่องเหนือธรรมชาติมานี่เหวอเลย) โดยไม่น่าเชื่อว่าอารมณ์อันดื่มด่ำพิศวงทั้งหมดเกิดจากคนสองคนคือ ฤทธิ์เจ้าของเรื่อง และเบสท์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างน่าหลงใหล ประสบการณ์ดูหนังเรื่องนี้เป็นคำนิยามที่ถูกต้องที่สุดของคำว่า ต้องมนต์ ครับ
ทั้งนี่ยังเป็นหนังที่ใช้เพลง คิดถึงพี่ไหม ของศรคีรี ศรีประจวบ ได้ทรงพลังตราตรึงที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมาด้วยครับ ด้านการถ่ายภาพที่เบสท์ถ่ายทำเองทั้งหมดก็ต้องยอมรับเลยว่ามหัศจรรย์มาก มันเหมือนเซ็ตติ้งแบบเฉียบขาดทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้เข้าไปจัดวางอะไรใหม่เลย เหมือนเบสท์เดินเข้าไปในสถานที่หนึ่ง แล้วมองเห็นภาพอันน่าอัศจรรย์ต่างจากสายตาคนทั่วไป และโชคดีที่เขาก็มีความสามารถพอที่จะใช้กล้องถ่ายทอดมันออกมาให้คนทั่วไปได้รับรู้ในวิสัยทัศน์เดียวกับเขาด้วย คือบางฉากขนลุกมากที่เขาสามารถจับชั่วขณะนั้นออกมาได้แบบสวยมาก ๆ เลยครับ ไม่อยากเชื่อว่านี่คือสารคดี
นิรันดร์ราตรี จึงไม่ใช่เพียงสารคดี ไม่ใช่เพียงหนังทดลอง ไม่ใช่เพียงประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของหนังกับโรงหนังไทย ไม่ใช่เพียงภาพสะท้อนอุตสาหกรรมหนังไทยที่ช่างเจ็บปวดของคนรักหนัง ไม่ใช่เพียงบทบันทึกคติธรรมเรื่องราวในชีวิตของชายที่ชื่อฤทธิ์ แต่มันคือเศษเสี้ยวความทรงจำของเราที่ผูกพันอยู่กับโรงหนัง ดั่งความฝันล่องลอยกระจัดกระจายที่ถูกจัดระเบียบได้อย่างคมคายด้วย นิรันดร์ราตรี
หนังเข้าฉายแบบจำกัดโรงตั้งแต่วันนี้ที่ SF เซ็นทรัลเวิลด์ และตั้งแต่ 31 สิงหาคมนี้ที่ House RCA เพิ่มด้วยครับ ใครสายอินดี้ชอบอะไรสวย ๆ อาร์ต ๆ ไม่ควรพลาดครับ เป็นหนังแนวเจ้ย แบบที่เสพง่ายกว่ามาก ๆ สนุกกว่ามาก ๆ อิ่มทุกรสกว่ามาก ๆ สมควรโดน