แน่นอนว่าช่วงแรกที่ได้ดูทีเซอร์ของอนิเมชันเรื่องนี้เชื่อว่าคอหนังส่วนใหญ่คงจะมองผ่าน ๆ ไป เพราะดูไม่มีอะไรหวือหวาเท่าไหร่กับ อิโมจิ ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง แม้ว่าคนเราจะใช้มันส่งแทนข้อความกันอยู่ทุกวัน แต่มันก็ไม่ใช่ไอคอนขนาดที่ว่าผูกพันอะไรกันลึกซึ้งมากนัก แถมทุกวันนี้เราก็แทบจะหันมาใช้สติ๊กเกอร์กันอยู่แล้ว ถ้ามองตามเทรนด์ก็ถือว่าการ์ตูนเรื่องนี้แอบมาเลทอยู่เยอะเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นว่าเมื่อไม่นานมานี้แวดวงนักวิจารณ์หนังเมืองนอกที่ได้ชมกันไปแล้วต่างสามัคคียกนิ้ว (กลาง) กับการ์ตูนเรื่องนี้ชนิดปัง (ปังปิ๊นาศ) ไม่เหลือคุณงามความดีเลย แต่ถึงอย่างนั้น มองกลับกัน มันก็กลายเป็นกระแสให้อนิเมชันเรื่องนี้ได้รับการจับตามองมากกว่าปกติเหมือนกัน

สำหรับพลอตของ The Emoji Movie หรือชื่อไทยไทยที่ไม่น่าไว้ใจอย่าง ‘แอ๊พติสต์ตะลุยโลก’ นั้นเริ่มจากเหล่า อิโมจิ ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ชื่อว่า Textopolis มีหน้าที่แสดงอารมณ์ในแบบเดียวเท่านั้น ซึ่ง อิโมจิพระเอกของเรื่องนี้อย่าง จีน เจ้าอิโมจิอารมณ์ Meh หรือภาษาไทยก็ ‘งั้น ๆ’ ผู้ทำหน้าเบื่อโลกตลอดเวลา แต่มีความสามารถในการปรับอารมณ์ได้หลากหลาย และแทนที่จะเป็นจุดแข็งที่คนอื่นทำไม่ได้ กลับกลายเป็นปัญหาไปถึง อเล็กซ์ เด็กหนุ่ม ม.ต้น เจ้าของสมาร์ทโฟนที่เข้าใจผิดคิดว่าโทรศัพท์ของเขารวน เพราะตัวอิโมจิ ไม่สามารถแสดงอารมณ์ ‘งั้น ๆ’ ออกมาได้

  

การที่ จีน แสดงอารมณ์ออกไปผิดพลาด ส่งผลต่ออิโมจิตัวอื่น ๆ ที่ตกใจตื่นผวา ลุกลามไปยังแอปพลิเคชันการใช้งานจนทำให้สมาร์ทโฟนของ อเล็กซ์ ยิ่งรวนหนักจนเขาตัดสินใจจะไปทำการล้างเครื่องรีเซ็ทใหม่ทั้งหมดที่ร้านซ่อมมือถือ ซึ่งหมายความว่า อิโมจิทุกตัวในเมือง Textopolis จะถูกลบหายไป โจทย์สำคัญที่ทำให้ จีน ต้องหาวิธีหยุดยั้งไว้ให้ได้ โดยมี อิโมจิ ผู้ร่วมผจญภัยกับเขาอีก 2 ตัวอย่าง ไฮไฟว์ (ให้เสียงโดย เจมส์ คอร์ดอน) และ เจลเบรค (ให้เสียงโดย แอนนา ฟาริส) ทำภารกิจสำคัญอย่างการหาวิธีข้ามผ่านไฟร์วอลล์ให้ได้ โดยต้องหลบหนีการไล่ล่าจากบอทตัวร้ายและต้องวิ่งผ่านทั้งเกมส์และแอปพลิเคชันดัง ๆ บนสมาร์ทโฟนมากมายซึ่งคนดูคุ้นเคยกันอยู่แล้ว

ต้องบอกเลยว่าหนังพยายามผูกปมของตัวละครอย่าง จีน ให้มีมิติ โดยเฉพาะออกแบบให้มันเป็น อิโมจิ ที่มีชีวิตจิตใจมากกว่าการแสดงอารมณ์ ‘งั้น ๆ’ ได้เพียงอย่างเดียว พยายามยกเรื่องความจับฉ่ายในอารมณ์มาตีความเป็นไม่หนักแน่น สับสนหลงทาง เพราะ จีน ไม่รู้ว่าชั้นจะเอาดีทางไหนสักทาง กลายเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของ อิโมจิตัวอื่น ๆ ใน Textopolis ไปด้วย และนอกจากนี้การวาง mood and tone ของฉาก การเดินเรื่อง แทบจะเป็นการยกฉากจาก Inside Out มาทั้งดุ้น คือดูไปสักพักก็ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาในหัวเลยนอกจากเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม The Emoji Movie นั้นเลียนแบบมาได้เฉพาะเปลือกภายนอกเท่านั้นแหละ

จริง ๆ The Emoji Movie มันไม่ได้รับการคาดหวังอยู่แล้ว แต่หากหนังให้น้ำหนักกับการเขียนบทที่ดีกว่านี้ มันก็อาจเป็นหนังอนิเมชันที่ผู้ใหญ่ดูแล้วพอจะอินได้ขนาดสักประมาณ The Secret Life of Pets (2016) เพราะเอาจริง ๆ เหล่าทัพ อิโมจิ พวกนี้พอมาเป็นการ์ตูนอนิเมชันแล้วมันก็น่าสนใจและมีชีวิตชีวาดีเมื่อเทียบกับตัวตนของมันบนแป้นพิมพ์ แต่แน่นอนว่ามันยังห่างจาก Inside Out เยอะเพราะเนืื้อหาใน The Emoji Movie มันเบ๊าเบาสมอง คือไม่ใช่ว่าจะฮาอะไรมากนะ แต่ว่าเนื้อหามันไม่มีอะไรจริงจังเลย เรียกว่าทำตัวสมกับเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กดูมาก แถมลูกล่อลูกชน ชั้นเชิงมันก็ไม่มี ทำให้องค์ประกอบทั้งตัวละครและเส้นเรื่องมันราบเรียบมาก นอกจากนี้ การออกแบบมูฟเม้นท์ของตัวการ์ตูนกับมุกที่สอดแทรกมา ขาดความสร้างสรรค์ไปอย่างรุนแรง แต่รวม ๆ มันก็ยังพอรับได้ไม่อึดอัดมากนัก การเดินเรื่องไปได้กระชับรวดเร็วดี ไม่รู้สึกเนือยหรือเสียเวลาเหมือนตอนไปดูพวกหนังตลกงงชีวิตอย่าง สาระแน…(อ้าว..มายังไงวะเนี่ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

เมสเซจหลัก ๆ ของ The Emoji Movie คือการไม่ทอดทิ้งกันของเพื่อน ความสำคัญของมิตรภาพ เพื่อนเจ็บเราก็เจ็บ มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน กับเรื่องความเป็นตัวของตัวเอง นอกจากนี้ก็ยังมีแอบจิกกัดเด็กมิลเลนเนียลที่โตมากับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตอยู่เป็นระยะ แต่น่าเสียดายที่หนังก็ไม่ได้ไปขยี้ ไปเน้นย้ำอะไรให้มันเป็นเรื่องเป็นราว เรียกว่าใส่มาอย่างละนิดละหน่อย ถ้อยคำที่ส่งออกมามันเลยไม่ทรงพลัง ไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่ ไฮไลท์สำคัญมองไปมองมามันน่าจะไปเน้นขายตัวละคร อิโมจิ ที่อยากให้คนดูรู้สึกว้าวกับการมีชีวิตชีวาในโลกการ์ตูนมากกว่า

จริง ๆ The Emoji Movie ไม่ใช่อนิเมชันที่เลวร้ายมากมาย เพียงแต่จุดบอดใหญ่ตั้งแต่การวางคอนเซ็ปต์ตัวหนังมันดันไปลอก Inside Out ซึ่งมีจุดสตรองมาก ๆ ในเรื่องของเนื้อหาอยู่แล้วชนิดฟ้ากับเหว มันเลยเกิดการเปรียบเทียบชัดเจนที่แคนนอนกลับมายังตัวหนังเรื่องนี้เอง เพราะในด้านเนื้อหา The Emoji Movie มันไม่มีอะไรน่าจดจำ เป็นการ์ตูนขายแฟนตาซีสำหรับเด็กเห่อ_มอยที่ไม่มีพิษมีภัยเรื่องหนึ่ง ดูได้เพลิน ๆ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะบ้าง ยังไงก็ไม่รู้สึกเจ็บตัวอะไรมาก ดูให้รู้ว่าครั้งหนึ่งอิโมจิพวกนี้มันก็เคยมีคนเอามาทำเป็นหนังแล้วนะ ซึ่งดูจบแล้วมันก็ ‘งั้น ๆ’ จริง ๆ นั่นแหละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

Play video