สรุปก่อนเลย เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว
ทำการบ้านมาดีมาก หนังไม่ได้แค่โปรดักชั่นงามขึ้นกว่าฉบับปี 1990 แต่เล่าเรื่องสนุกขึ้นด้วย สัญญะต่าง ๆ ก็ตกผลึกมาใหม่ กระชับขึ้น จัดเจนขึ้น ที่สำคัญหลอนโคตรบิดามารดร ชอบสุดตรงไม่ต้องตุ้งแช่ก็ทำหนังผีคุณภาพได้ ไอ้พวกชอบหลอกคนดูให้ตกใจมากราบครูเรื่องนี้กันซะ
พูดถึงตัวตลกกับวัฒนธรรมอเมริกัน เรื่องราวมันเริ่มจาก เด็กชายคนหนึ่งร้องโยเยกลางดึกบอกกับพ่อและแม่ว่า อยากให้ช่วยเอาตุ๊กตาตัวตลกออกจากห้องนอนไปที เพราะมันจ้องเขาทั้งคืนจนเขานอนไม่ได้ แต่ที่หลอนคือพ่อกับแม่เด็กต่างรู้ดีว่าในบ้านนี้ไม่มีตุ๊กตาอย่างที่ลูกชายเขาว่าแม้แต่ตัวเดียว หลังจากแจ้งตำรวจมาตรวจสอบในวันรุ่งขึ้น ก็ได้พบร่องรอยการงัดแงะบุกรุกเข้ามา ความหวาดผวาคนโรคจิตหรืออาชญากรทำให้ผู้คน เริ่มผูกเรื่องระหว่างตัวตลกและสิ่งชั่วร้ายเข้าด้วยกัน
และนั่นคือต้นทางที่ สตีเฟน คิง นักเขียนนิยายสยองขวัญนำมาผูกเป็นเรื่องราวการเผชิญหน้ากับ “มัน” บางสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ในรูปลักษณ์ของตัวตลกชื่อ เพนนีไวส์ ที่จะมาล่อลวงเด็ก ๆ ไปกินทุก ๆ 27-30 ปี โดยกลุ่มเด็กมัธยมต้น 7 คนที่ต่างมีภูมิหลังต่างกัน และแต่ละรอยบาดแผลในใจของแต่ละคนก็คือ เชื้อไฟ อันดีที่เพนนีไวส์จะใช้เพื่อสร้างภาพลวงตาและคำลวงหลอกล่อให้เด็ก ๆ กลุ่มนี้ตกเป็นเหยื่ออันโภชนาของมัน ไม่ว่าจะเป็น บิลเด็กติดอ่างที่สูญเสียน้องชายชื่อจอร์จี้ไป เบนเด็กอ้วนที่ขาดพ่อ เบฟเวลี่เด็กสาวคนเดียวของกลุ่มที่อยู่ในบ้านอันแสนเข้มงวด เอ็ดดี้ที่ร่างกายอ่อนแอ ริชชี่สุดแสนไฮเปอร์ แสตนลีย์ยิวผู้ปราดเปรื่อง และไมค์เด็กผิวสีที่เหยียดผิว คอหนังคงจะเห็นได้ว่าเรื่อง It นี้ กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ซีรีส์ยอดฮิตอย่าง Stranger Things และหนังสยองอีกหลาย ๆ เรื่อง และเช่นเดียวกันดูเหมือนคิงเองก็ได้อิทธิพลจากงานของ เฮช.พี. เลิฟคราฟท์ มาไม่มากก็น้อย จนมีคนนิยาม It ให้คนรุ่นนี้เข้าใจง่ายว่าคือ Stranger Things + Lovecraft นั่นเอง แต่จะให้ถูกจริง ๆ คือ It เป็นงานคลาสสิกที่ก่อเกิดแนวหนังเด็กเผชิญสิ่งสยองขวัญเรื่องต่าง ๆ ตามมาต่างหาก
IT เคยเป็นมินิซีรีส์ทางโทรทัศน์ในปี 1990 และยังคงรักษาความคลาสสิกให้กล่าวขวัญอยู่มาถึงปัจจุบัน เวลาผ่านไป 27 ปี ตามรอบที่เพนนีไวส์จะกลับมา ผู้กำกับสเปนอย่าง แอนเดรียส มัสเชียต ผู้สร้างชื่อมากับหนังสยองขวัญอย่าง Mama (2013) จึงขอนำเรื่องราวและตัวละครเหล่านั้นกลับมาขึ้นจอเงินอีกครั้ง โดยคราวนี้เขาเลือกจะเล่าต่างจากฉบับทีวีและนิยายอยู่นิดหน่อย โดยมีการปรับเปลี่ยนภูมิหลังตัวละครเด็กหลาย ๆ ตัวให้กระชับและชัดเจนขึ้นกว่าเดิม อาจเพราะด้วยเวลาที่ไม่มากมายแบบมินิซีรีส์ แต่ก็ได้มาซึ่งโมงยามที่ไม่ต้องพักต้องผ่อนหลอนกันยาว ๆ แทน ซึ่งดีกว่าฉบับเดิมที่เยิ่นเย้อแฟลชแบ็กไม่จบไม่สิ้นด้วย (แต่ในบางแง่มุมฉบับเดิมก็ลงรายละเอียดตัวละครได้ลึกกว่า แต่ก็เป็นอะไรที่ต้องยอมแลกให้หนังมันจบในเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที)
การแคสติ้งที่โดดเด้งก็ช่วยให้หนังดูน่าเชื่อกว่าเดิมมากด้วย ที่น่าจับตาเลยคือ ตัวตลกเพนนีไวส์ที่ได้ บิลล์ สการ์สการ์ด มารับบทได้ถึงมาก บางทีเขาอาจเกิดมาเป็นตัวละครนี้เลยก็ว่าได้ อย่างฉากที่ผู้กำกับบอกว่าตามบทเพนนีไวส์ต้องทำตามองไปคนละด้านให้ดูสยดสยอง โดยแพลนเดิมคือจะใช้ซีจีช่วยในขั้นโพสต์ แต่บิลล์บอกผู้กำกับว่า เขาทำได้ และนั่นจึงได้มาซึ่งฉากขนหัวลุกมากมายที่เพนนีไวส์ข่มขู่คนดูจนอยู่หมัด อีกคนที่อยากให้จับตามองเพราะโดดเด่นมากคือหญิงสาวหนึ่งเดียวของเรื่องอย่าง เบเวรี่ ที่ได้ โซเฟีย ลิลลิส มารับบท ซึ่งเล่นยากเพราะปมของตัวละครถูกขยายขึ้นจนหนักหนามาก และเธอต้องรับบทเป็นตัวละครที่ทุกคนคอยมอง เพราะเป็นหญิงหนึ่งเดียวของเรื่อง นี่ก็กดดันมาก แต่น้องเอาอยู่จริง ๆ เชื่อว่าสองคนนี้ล่ะที่อนาคตไกลแน่ ๆ ส่วนนักแสดงคนอื่น ๆ ไม่ใช่ว่าไม่ดี ถือว่าเล่นดีกว่าฉบับเดิมเกือบทุกตัวครับ เพียงแต่สองคนข้างต้นนั้นโดดจริง ๆ
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเและดีมาก ๆ คือการที่หนังโปรดักชั่นดีมาก การคิดฉากหลอกหลอนก็ขยายขอบเขตได้กว้างไกลขึ้นเพราะเทคนิกต่าง ๆ ในยุคนี้สนับสนุนได้สบาย จะเป็นผีเละ ๆ ผีหัวขาด ฉากรังบอสที่เกินพ้นจินตนาการสมกับ คำประจำตัวของเพนนีไวส์ว่า จงลอยขึ้น ๆ ได้ดีจริง ๆ และเพราะอยากจะหลอกหลอนอย่างไรก็ได้ มันจึงมีที่ทางให้กับการใช้สัญญะต่าง ๆ ในการบอกเล่าเรื่องราวมากขึ้น โดยที่บู้ทอัพจากเดิมแบบเห็นชัดเลยคือ สีของลูกโป่งจากเดิมที่เป็นสีเหลือง อันมีสัญะทางสีของฝรั่งคือ คำเตือนภัย ให้ระแวดระวัง (นึกถึงป้ายเตือนฝรั่งจะเป็นสีเหลือง หรือสายคาดกันที่เกิดเหตุก็จะเป็นสีเหลือง) แต่มาฉบับนี้ถูกปรับมาเป็นสีแดง ที่นอกจากมีสัญญะถึง อันตรายแบบไม่ใช่แค่การเตือนอีกต่อไปแล้ว ยังแทนถึงความหลงใหลอันเป็นสิ่งที่เพนนีไวส์ใช้หลอกให้ตัวละครหลงผิดอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังถูกใช้แทนถึงความสิ้นสุดของวัยเยาว์ โดยเฉพาะตัวละครหญิงสาวที่เริ่มมีประจำเดือนด้วย ซึ่งเหล่านี้คือธีมรองที่หลบซ่อนอยู่ในเรื่องตลอดเวลา ส่วนธีมว่าด้วยผู้ใหญ่ทำร้ายความบริสุทธิ์ของเด็ก และการเมินเฉยต่อภัยอันตรายของชาวเมือง ก็ถูกนำมาสะท้อนได้คมขึ้นมากครับ เพราะ It มันเป็นนิยายที่ว่าด้วยการลงโทษสังคมที่ปล่อยปละละเลยไม่สนใจเรื่องชาวบ้าน เช่นผู้ใหญ่ที่ไม่ช่วยกันสอดส่องคนแปลกหน้าหรือการเล่นซนของเด็ก ๆ จนเกิดกรณีเด็กหายหรือตายมากมายในสหรัฐมาแล้วนั่นเองครับ
ด้วยสิ่งที่ว่ามา มันเลยเป็นคุณงามความดีมาก ๆ ที่ส่งให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังสยองขวัญที่มีครบรส ทั้งสยอง ให้แง่คิด ประเทืองปัญญา ขบขัน หวาดผวา รวมมาแบบคุ้มค่าทุกนาทีตลอด 2 ชั่วโมง ส่วนที่ติดใจอยากติงคงเป็นเพียงความโหดเหี้ยมที่มากขึ้นกว่าฉบับเดิม เพราะในฉบับใหม่นี้เราได้เห็นฉากการตายจริง ๆ อย่างโหด ในขณะที่ฉบับเก่าเลือกจะใช้เฟดดำเสียเป็นส่วนใหญ่ และเพราะด้วยเล่าผ่านมุมมองเด็ก ๆ ทั้งเรื่อง ทำให้หลายครั้งมันดูไร้เดียงสามากไปหน่อย คือน่าจะโหดไปได้อีกเยอะครับ แต่ตรงนี้ก็คิดว่าไม่แน่อาจจะถูกกั๊กไว้เพื่อภาคต่อมากกว่า เพราะหนังขึ้นว่าจบตอนที่ 1 แบบใบ้ว่ายังไงก็มีภาคตอนตัวละครโตขึ้นชัวร์ ๆ ซึ่งนอกจากจะใส่ความโหดได้เต็มเหยียดกว่าเดิมแล้วยังน่าจะช่วยตอบคำถามคาใจผู้ชมหลาย ๆ อย่างที่ยังไม่เฉลยพร้อมกันด้วย ส่วนตัวผมสารภาพว่าคิดผิดมาก ๆ ที่ไปดูเวอร์ชันเก่ามาก่อนทำให้เดาเรื่องได้ก่อนแล้วเลยเสียอรรถรสให้ตนเองไปพอสมควรครับ ก็แนะนำว่าไปดูของปี 2017 กับภาคต่อกันก่อนครับ ถ้ามีโอกาสค่อยไปหาฉบับเก่ามาดูเทียบจะอิ่มสุด แล้วจะรู้ว่าเวอร์ชัน 2017 นี่มันสุโค่ยสุด ๆ เลยครับ