ภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำรายได้ทั่วโลกไป 414 ล้าน จากทุนสร้าง 81 ล้านเหรียญ แน่นอนล่ะ ว่าเราต้องได้ดูภาคต่อกันแน่นอน เมื่อแรกทำกำไรได้ดี ภาคสองก็เลยได้อนุมัติทุนสร้างสูงขึ้นเป็น 104 ล้านเหรียญ และเพิ่มดาราเข้าไปอีกเพียบทั้งแชนนิง ทาทัม , ฮัลลี เบอร์รี , เจฟฟ์ บริดเจ็สและทารอน อีเกอร์ตัน , โคลิน เฟิร์ธ ,มาร์ค สตรองจากภาคแรก ถ้านับจูลีแอน มัวร์ อีกคน เรื่องนี้ก็รวมดาราออสการ์ไว้ถึง 4 คน
หนังเริ่มเรื่องต่อจากภาคแรกเมื่อ แฮรี่ ฮาร์ต เสียชีวิตไปในภารกิจ เอ็กซี่ ก็ยังคงทำหน้าที่สายลับของคิงส์แมนต่อไป ร่วมกับเมอร์ลิน และ แลนซล็อต ข้อดีของหนังภาค 2 ก็คือไม่ต้องเสียเวลาปูเรื่องราวแนะนำตัวละคร หนังก็เลยจัดหนักตั้งแต่เปิดเรื่องเลย เมื่อชาร์ลี หนุ่มที่เคยมาสมัครเข้าเป็นสายลับคิงส์แมนแต่ไม่ผ่าน เลยแปรพักตร์ไปอยู่กับแก๊งโกลเดนเซอร์เคิล กลุ่มวายร้ายแก๊งใหม่ประจำภาคนี้ ชาร์ลีได้รับคำสั่งมาให้จัดการเอ็กซี่ เราก็เลยได้ดูฉากมันส์ตั้งแต่เปิดเรื่องเลย แก๊งโกลเดนเซอร์เคิลมีหัวหน้าคือ “ป๊อปปี้” เป็นเจ้าแม่ค้ายาเสพติดอันดับ 1 ของโลก กบดานอยู่ในราชวังส่วนตัวบนยอดเขาในกัมพูชา ป๊อปปี้เปิดฉากสงครามกับคิงส์แมนก่อนด้วยการยิงขีปนาวุธทำลายกองบัญชาการของคิงส์แมน พอกำจัดคิงส์แมนได้ ป๊อปปี้ก็เริ่มแผนการร้ายด้วยการใส่ไวรัสมรณะลงในยาเสพติดของเธอ ทำให้คนนับล้านทั่วโลกติดเชื้อร้าย และจะตายในไม่กี่วัน เรียกร้องให้ประธานาธิบดีสหรัฐออกกฏหมายให้ยาเสพติดถูกกฏหมาย แล้วเธอจึงจะมอบยาถอนพิษให้ ตอนนี้คิงส์แมนเหลือแค่เพียงเอ็กซี่และเมอร์ลินไม่มีกำลังพอที่จะหยุดแผนการร้ายของป๊อปปี้ จึงต้องไปขอความร่วมมือจาก “สเตทแมน” เครือข่ายสายลับในเคนตัคกี้ อเมริกา แฝงตัวอยู่ภายใต้ธุรกิจเหล้า กลายเป็นการร่วมมือกันของสายลับสองสัญชาติเพื่อจัดการกับป๊อปปี้ ด้วยความที่เป็นหนังภาค 2 ตัวละครส่วนใหญ่ก็ต่อเนื่องมาจากภาคแรก และอ้างอิงถึงเหตุการณ์ในภาคแรกอยู่มาก ถ้าใครไม่เคยดูภาคแรก ก็น่าจะมีงงอยู่บ้างนะ แต่ก็ไม่ถึงกับจะดูไม่รู้เรื่องหรอก
โดยรวมแล้วรู้สึกว่าหนังสนุกกว่าภาคแรก แม้ว่าภาคนี้จะยาวกว่าภาคแรกด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที แต่ก็เดินหน้าไปด้วยความเพลิดเพลิน มีมุกหยอดมาเรื่อย ๆ ไม่ถึงกับฮาแตกแต่ก็พอชวนยิ้มได้เรื่อย ๆ ฉากแอ็คชั่นเล็กใหญ่ทยอยมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการเว้นช่วงกันนาน ดึงเสน่ห์ที่เป็นเอกลัษณ์ของหนังสายลับออกมาได้ครบ ทำให้เราสนุกไปกับโลกสายลับ ได้เห็นอุปกรณ์สายลับต่าง ๆ นานา ถูกนำมาใช้มากกว่าภาคแรก ได้เห็นรถที่แปลงร่างเป็นเรือได้ มีห้องบัญชาการลับ บรรดาตัวร้ายของเรื่องดูมีสีสัน ชาร์ลีมีแขนขวาเป็นหุ่นยนต์ที่มีพละกำลังสูง ป๊อปปี้มีองค์รักษ์เป็นหมาหุ่นยนต์ 2 ตัว เปรียบเสมือนบอสด่าน 1 ด่าน 2 ที่เอ็กซี่จะต้องกำจัดก่อนจะไปเจอตัวบอสอย่างป๊อปปี้
ด้วยเหตุที่ว่า Kingsman ดัดแปลงมาจากการ์ตูนสัญชาติอังกฤษ ของค่ายไอคอนคอมิกส์ ค่ายย่อยของมาร์เวล ผลงานของมาร์ค มิลลาร์ ผู้ให้กำเนิด Kick-Ass และ Wanted มาแล้ว เพราะว่ามาจากการ์ตูน เรื่องราวของคิงส์แมนจึงไม่ได้เข้มข้นจริงจังแบบ เจมส์ บอนด์ หรือ เจสัน บอร์น แต่จะมีสีสันสดใสมากกว่าและมีความเป็นเวอร์วังสูง แต่ในความที่เป็นการ์ตูนภาพของหนังก็โหดอยู่พอควรนะ จ่อยิงแสกหน้า จับเหยื่อใส่เครื่องบดเนื้อ หั่นศัตรูตัวขาดสองท่อน ไรแบบนี้ แม้ภาพจะรุนแรงแต่เราก็ไม่เห็นเลือดสักหยดเดียวเลยไม่ได้รู้สึกสยดสยองชวนแหวะไปกับภาพที่เห็น ด้วยความที่มีพื้นฐานมาจากการ์ตูนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือเราได้หลุดโลกไปกับจินตนาการของผู้เขียน ไม่ต้องอยู่ในกรอบของความจริง ซึ่งหนังฮอลลีวู้ดนี่ก็เวอร์อยู่แล้วแต่นี่เวอร์ได้กว่าอีก แต่สิ่งที่ขาดไปก็คือหนังไม่มีด้านความเข้มข้นจริงจัง ออกมาเป็นสายลับที่เนื้อหาค่อนข้างราบรื่น แต่ละอุปสรรคถูกแก้อย่างง่ายดาย ตัวร้ายนี่กระจอกมาก คิงส์แมนเดินเท้ากันไปยังมาได้ถึงหน้าประตูบ้านเลย บอดี้การ์ดมีไม่ถึง 10 คนด้วยมั้ง เลยทำให้รู้สึกขัดกับสถานะเจ้าแม่ค้ายาเสพติดอันดับ 1 ของโลก
จุดหลักที่นำมาขายในภาคนี้คือการรวมพลังสายลับอังกฤษและอเมริกัน แต่พอเอาเข้าจริงคิงส์แมนก็ยังต้องอยู่ในสถานะพระเอกตามชื่อเรื่องนะ ตัวเอกที่เดินหน้าลุยก็ยังคงเป็นเอ็กซี่และแฮรี่ ฮาร์ตเช่นเดิม ฝ่ายสเตทแมน ก็เพียงสนับสนุนด้านยานพาหนะและอาวุธเท่านั้น ต้องเตือนไว้กันผิดหวังสำหรับคนที่คาดว่าจะได้เห็นแชนนิง ทาทัม ในบทสายลับออกมาวาดลวยลายกับเหล่าคิงส์แมน ไม่มีนะครับ บท”เตกิล่า”ของแชนนิง กากมาก แต่เหมือนทิ้งท้ายไว้ว่าจะได้มีบทบาทมากขึ้นในภาค 3 ตัวเด่นจริง ๆ จากฝั่งสเตทแมนคือพี่หนวดเปโดร พาสคาล จากซีรีส์ Narcos เปโดร มาในบท “วิสกี้” มีอาวุธคู่มือคือบ่วงบาศเลเซอร์ ฟาดโดนอะไรขาดหมด วิสกี้ คนเดียวได้มีฉากโชว์ของตัวเองถึง 3 ฉากเลย ฮัลลี เบอร์รี่ จิงเจอร์เอล เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการ ก็ได้โผล่มาแค่ไม่กี่นาที เจฟฟ์ บริดเจ็ส มาในมาดเดิมเป๊ะ ที่เราเคยเห็นเขาใน Ironman และ The Giver การที่ได้เห็น เจฟฟ์ บริดเจ็ส และ โคลิน เฟิร์ธ มาร่วมฉากกัน ถือว่าเป็นวาระสำคัญเพราะคู่นี้แข่งกันบนเวทีออสการ์กันมาแล้วสองรอบ ปี 2009 เจฟฟ์ บริดเจ็ส ได้ออสการ์นำชายจาก Crazy Heart เอาชนะ โคลิน เฟิร์ธ ที่เข้าชิงจากเรื่อง “A Single Man” และในปี 2010 โคลิน เฟิร์ธก็เอาชนะเจฟฟ์ ได้บ้างจาก “The King’s Speech” ในขณะที่เจฟฟ์เข้าชิงจากเรื่อง “True Grit” ทารอน อีเกอร์ตัน พระเอกของเรื่องยังคงดูดีในชุดสูทคิงส์แมน ที่สวมแล้วดูเป็นพระเอ๊กพระเอก รอดูทารอนในมาดโรบิน ฮู้ด ปีหน้านะครับ
อีกบทสำคัญจากตอนนี้คือ เอลตัน จอห์น ที่มาเล่นเป็นตัวเอง มาแบบสบาย ๆ มาก เขาเป็นเหยื่อของป๊อปปี้ที่ถูกจับมาขังไว้ เพื่อโชว์ให้เธอดูในฮอลล์ส่วนตัว คนเขียนบทก็ดูให้เกียรติท่านเซอร์ดีนะ ยังอุตส่าห์ให้ป้าเอลตันได้มีโมเมนต์เท่ ๆ ในฉากต่อสู้กับเขาด้วย แต่ถึงแม้ภาคนี้จะมีป้าเอลตัน ระดับปูชนียบุคคลในวงการมาร่วมแสดง แต่เพลงธีมของเรื่องกลับเป็น “Take Me Home Country Road” ของจอห์น เดนเวอร์ ส่วนป้าเอลตัน ได้โชว์เพลง “Saturday Night Alright For Fighting” และ “Rocket Man” แค่นั้น ด้วยเนื้อหาของภาคนี้เป็นเรื่องราวของฝั่งอเมริกา ก็เลยต้องให้น้ำหนักกับเพลง”Take Me Home Country Road” ที่มีความเป็นอเมริกันคันทรี่ จึงถูกใช้ตั้งแต่เปิดเรื่อง และทำเป็นเมโลดี้คลอเป็นฉากหลังในหลาย ๆ ฉาก และใช้อีกครั้งในฉากสำคัญ
เจน โกลด์แมน คู่หูของผู้กำกับแมทธิว วอห์น มาร่วมกันเขียนบทภาพยนตร์อีกครั้ง ก็ถือว่าเล่าเรื่องได้เก่ง แม้ไม่ต้องมีปริศนาหรือสถานการณ์ต้องเอาใจช่วยกับบรรดาตัวละคร แต่ก็ทำเราสนุกไปกับหนังได้ด้วยการหยอดฉากแอ็คชั่นมาตลอดทาง จุดที่น่าชื่นชมที่สุดคือการออกแบบฉากต่อสู้ บรรดาคิงส์แมนได้โชว์ท่าเท่ ๆ และประยุกต์ข้าวของรอบ ๆ ตัวมาเป็นอาวุธ มีสโลว์ภาพเน้นจังหวะเด่นเป็นระยะ ๆ มองเห็นถึงการเตรียมงานทำการบ้านมาได้เป๊ะมาก เป็นหนังที่เหมาะดูสบาย ๆ ผ่อนคลายจริง ๆ ครับ คิดซะว่านี่คือหนังการ์ตูนที่มีคนแสดง สนุกครับ เชียร์ครับ