ห่างหายไปพักใหญ่เลยสำหรับหนังฮ่องกงฟอร์มแอ็คชันบู๊เดือดปุด ๆ ซึ่งถือเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ทาง วชิโรมาสเตอร์ ฟิล์ม ค่ายหนังน้องใหม่ได้นำเข้ามาฉาย ต่อจาก Birth of Dragons โดยหากใครได้เห็นหน้าหนังของ Paradox หรือ เดือด ซัด ดิบ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ ก็อาจจะตั้งหน้าตั้งตารอพระเอก กู่เทียนเล่อ รวมทั้ง โทนี จา ที่ถือเป็นผลงานหนังฮ่องกงเรื่องที่ 2 ของเจ้าตัวต่อจาก SPL 2 หรือ โหด ซัด โหด ที่แอ็คชันล้างผลาญกันมาแล้ว และในคราวนี้หนังก็ยิงจุดขายด้วยชื่อของ หง จินเป่า มารับหน้าที่กำกับคิวบู๊เองด้วย
Paradox เป็นเรื่องราวของ ลีชุง ตำรวจพ่อหม้ายที่เลี้ยงดูลูกสาว ฮันนา จนกระทั่งเธอโตเป็นสาวสะพรั่งอายุ 16 จากนั้นก็เกิดปัญหาครอบครัวขึ้นทำให้ ฮันนา หลบแผลใจมาหาเพื่อนของเธอที่พัทยา จนกระทั่งจู่ ๆ ฮันนา ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ทำให้ ลีชุง ต้องรีบบินด่วนมาตามหาลูกสาวของเขา ซึ่งที่นี่ทำให้เขาได้ประสานกับ ‘คิท’ นักสืบชาวจีน (อู๋เยี่ย) และได้รับการช่วยเหลือจากทีมตำรวจท้องถิ่นพัทยาอย่าง บาน (หลอฮุยกวง) และ ทักษ์ (โทนี จา) และปรากฏว่าพวกเขาพบเบาะแสสำคัญที่ลูกสาวของเขาอาจมีส่วนพัวพันกับขบวนการค้ามนุษย์ของมาเฟียชาวอเมริกัน (ไรอัน คอลลินส์)
สำหรับหนังเรื่องนี้ นอกจาก โทนี จา ที่มาปรากฏตัวในฐานะนักแสดงรับเชิญพิเศษแล้ว ยังมีนักแสดงชาวไทยอีก 2 ท่าน คือ นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา และ วิทยา ปานศรีงาม มาร่วมสร้างบรรยากาศหนังให้มีกลิ่นไทย ๆ ด้วย โดยหนังเรื่องนี้ถ่ายทำแทบจะทั้งหมดในประเทศไทย และจะว่าไปงานกำกับของ วิลสัน ยิป ในครั้งนี้ พลอตเรื่องแทบไม่มีความแตกต่างใด ๆ จาก SPL 2 ภาคที่ผ่านมาเลย จะต่างกันก็ตรงที่ว่าใน SPL จา พนม เป็นผู้คุมนักโทษในคุก ต้องตามหาลูกสาวตัวเอง แต่ใน Paradox เขาขยับมาเป็นตำรวจและต้องช่วยตามหาลูกสาวคนอื่น เรียกว่าเป็น SPL อีกเวอร์ชันที่เปลี่ยนตัวแสดงก็ได้ ส่วน จา พนม นั้น ก็ต้องบอกว่านี่เป็นหนังไตรภาคของการตามหา หลังจากก่อนหน้านี้พี่แกตามหาช้าง ตามหาพระ คราวนี้ก็ตามหาลูกสาวคนอื่น (ฮา)
เส้นเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ยังคงความเป็นหนังฮ่องกงเดิม ๆ ที่ไล่ล่าตัวหนอนบ่อนไส้ในคราบของผู้พิทักษ์ความยุติธรรมนั่นแหละ แต่ตัวหนังไม่ได้เน้นที่บทหนังเท่าไหร่ ใช้เวลาไปกับการปูเรื่องรวบรัดตัดตอนไม่แคร์เวิลด์ แล้วเล่าแบบตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ที่ไทยและฮ่องกงให้มันดูมีลูกเล่นขึ้น แต่ผมว่ากลับทำให้หนังปูเรื่องได้อึดอัดกว่าเดิม และเอาจริง ๆ ไม่ต้องคาดหวังอะไรเลยกับการเดินเรื่องในช่วงครึ่งแรก แถมบทสนทนาของนักแสดงไทยกับฮ่องกงเวลาเข้าฉากกัน ดันออกมาเป็นสองภาษา ภาษาบ้านใครบ้านมัน แต่คุยกันรู้เรื่อง มันเลยฟังดูแล้วทะแม่ง ๆ รวมทั้งตัวของ จา เอง ก็ยังคงมีปัญหาเวลาเล่นบทที่ต้องพูดยาว ๆ ทั้งน้ำเสียงและการแสดงอารมณ์นี่ท่องมาจากบ้านชัด ๆ เรียกว่ามึงอ้าปากพูดเมื่อไหร่บรรลัยเมื่อนั้น (ฮา)
แต่ในเมื่อหนังจะแสดงชัดเจนว่า เรื่องพลอต การเดินเรื่อง เก็บรายละเอียดอะไร กูช่างแมร่งแล้ว ก็มาโฟกัสที่ฉากบู๊แอ็คชันดีกว่า เรียกว่าพาร์ทหากินเลย และต้องยอมรับว่า Paradox เป็นหนังที่มีคิวบู๊สวยเรื่องหนึ่งเลย ไม่ว่าจะเป็นศิลปะมวยจีน มวยไทย อาวุธมีดดาบกระบองดูอันตราย สมจริง และโหดดี ไม่ต้องแต่งตัวนาน ไม่ต้องรอให้พูดจบ ยิง ๆ ทิ้งหมด ไม่เสียเวลา แถมยังมีฉากแอ็คชันในโรงแล่เนื้อ ที่ถ่ายเป็นลองเทควางเฟรมภาพมาเนียนกริ๊บ ฉากต่อสู้แบบนันสต็อป ซาวน์ประกอบเร้าอารมณ์สุด ยิ่งได้อินเนอร์ของคู่หู กู่เทียนเล่อ และ อู๋เยี่ย เข้ามาเติมเต็มด้วยแล้ว ทำให้ครึ่งหลังของ Paradox กลายเป็นหนังที่คนดูไม่กล้าลุกไปไหน โดยเฉพาะพาร์ทดราม่าที่ค่อย ๆ ก่อตัวรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับแฟนหนังของจาก็ถือว่าได้เห็น จา วาดลวดลายแบบเข้าตาก็หลายฉากอยู่ แต่เสียดายที่มีบทน้อยไปนิด ซึ่งหลัก ๆ ไปหนักที่ กู่เทียนเล่อ และ อู๋เยี่ย นั่นแหละ โดยนอกจากแอ็คชันแล้ว พาร์ทดราม่าของ Paradox ก็ทำได้น่าชื่นชม โดยเฉพาะการทอดอารมณ์ของคนเป็นพ่อที่มีลูกสาวคนเดียวเป็นแก้วตาดวงใจ หนังนำพาคนดูไปถึงด้านมืดที่สุดของตัวละคร และทางแยกของการตัดสินใจที่สำคัญมาก ๆ ในช่วงสุดท้ายของเรื่องที่แม้จะเดาไม่ยากมากนัก แต่ทำให้คนดูอินและเข้าถึงจิตใจของตัวละคร ลี ชุง ได้เป็นอย่างดี โดยรวมแล้ว Paradox ถือเป็นงานแอ็คชันดราม่าอีกเรื่องที่มีเสน่ห์เปี่ยมล้นแบบหนังฮ่องกง และถือเป็นการกลับมาปรากฏตัวบนจอเงินที่สวยงามของพระเอก กู่เทียนเล่อ อย่างแท้จริง