สรุปก่อนเลยเผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว
ไม่ต้องพิรี้พิไร นอนให้พอผ่านองก์แรกของหนังได้ก็พอ เพราะที่เหลือคือความสุดยอดของเรื่องราว ในขณะที่ตัวหนังทั้งเรื่องเองคืองานมาสเตอร์พีซทั้งภาพเสียงดีไซน์ ซึ่งในหลายซีนอาจยกให้เป็นนวัตกรรมใหม่ของหนังไซไฟได้เลยด้วย
เล่าความรู้สึกก่อนดูก่อนเลย เป็นคนแพ้ทางหนังของ เดนิส วิลล์เนิฟ ผู้กำกับที่รับไม้สานต่อตำนานไซไฟจาก ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้กำกับภาคแรกเมื่อ 35 ปีก่อนมาก คือหนังของแกก่อนหน้าไม่ว่าจะมาแนวไหน ทั้งสืบสวนระทึกขวัญ ทั้งอวกาศไซไฟ ผมหลับหมดมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ ยิ่งตัวหนัง Blade Runner (1982) ฉบับดั้งเดิมก็เป็นอะไรที่เดินเรื่องนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ชวนหลับเป็นสไตล์อยู่แล้ว พอรู้ซ้ำเข้าไปว่าหนังยาว 2 ชั่วโมง 43 นาที ตรงนี้รู้ตัวเลย ไม่รอดแน่ ๆ งานนี้
แต่!! ไม่ผิดคาดเลย คือหนังยังคงรักษาเอกลักษณ์ความนิ่งงันของโลกอนาคตได้อย่างดี แต่ที่เพิ่มคือ จินตนาการใหม่ ๆ ต้องยอมรับว่าล้ำมาก พวกของไฮเทคในอนาคต ทั้งแฟนสาวโฮโลแกรมที่ชวนไปนึกถึงหนังอย่าง Her (2013) ทั้งข้างของเครื่องใช้แบบที่รู้สึกได้ว่าว้าว ทั้งฟังก์ชั่นและดีไซน์ พระเอกที่เอาคนดูอยู่ก่อนการเล่าเรื่องจะทำงานเต็มสูบตั้งแต่หนังเปิดเรื่องก็คือ งานโปรดักชั่นทั้งหลายนี่เอง
งานภาพของ โรเจอร์ ดีกินส์ ผู้เคยเข้าชิงออสการ์มาถึง 13 ครั้ง ครั้งนี้ถือว่าโอกาสคว้ารางวัลสูงมาก ๆ ทีเดียว (ไปรู้จักตัวตนของเขาได้จากบทความของเราอันนี้ครับ รู้จัก Roger Deakins ตากล้อง Blade Runner 2049 ผ่าน 13 ผลงานที่เคยชิงออสการ์) ต้องยอมรับล่ะว่า การวางเฟรมภาพ (โดยเฉพาะการออกแบบมาเพื่อโรงไอแม็กซ์) ทำให้แต่ละซีนดูน่าสนใจ มันสวย และดูเร้าดวงตาเราให้มองนู้นมองนี่ได้ตลอดเลย ซึ่งก็ต้องชมพ่วงไปถึงงานโปรดักชันอาร์ตดีไซน์ของหนังด้วย ที่วางพร็อพรวมถึงฉากต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดโลกอนาคตแบบไซเบอร์พังก์ให้ชวนมองได้ตลอด ทั้งยังดูแปลกใหม่โดยไม่ทิ้งจักรวาลเดิมในปี 1982 จนรู้สึกว่าเป็นหนังคนละเรื่อง ตรงนี้รวมกันต้องบอกว่ามันได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการนำเสนอโลกไซไฟอย่างมีนัยยะสำคัญมาก ๆ ครับ อยากให้ลองไปชมโดยเฉพาะฉากเลิฟซีน กับฉากการต่อสู้สุดท้ายที่หาคำบรรยายมาอวยยากครับ แต่มัน โห ว้าวจริง ๆ
อีกหนึ่งอาวุธที่ถูกนำมาใช้คือเสียงเพลง งานนี้ได้ตัวพ่ออย่าง ฮานส์ ซิมเมอร์ มาควบคุมร่วมกับ เบนจามิน วอลฟิสช์ คลื่นลูกใหม่ที่มีผลงานปีนี้ไม่ธรรมดาทั้งใน It และ Dunkirk ด้วย เพลงช่วงส่งภาพมากเหมือนกันครับ โดยเฉพาะยิ่งพวกฉากใหญ่ ๆ โชว์แลนด์สเคปโลกอนาคตยิ่งใหญ่สมจอไอแม็กซ์ที่มีองค์ประกอบแปลกใหม่ชวนตื่นตาตื่นใจ เข้าใจเลยว่าทำไมต้องพึ่งฝีมือของสองคนนี้
มาถึงส่วนหลักที่เราอยากพูดถึงมาก ๆ ในเรื่องครับ นั่นคงไม่พ้นการเล่าเรื่องนี่ล่ะ เพราะมันต้องแบกรับความยิ่งใหญ่ระดับตำนานของภาคแรกที่จะว่าไปก็ยาก เพราะคนยุคใหม่ที่เคยดูคงมีไม่มาก พวกยุคนั้นที่เคยดูแล้วลืมแล้วก็มากเช่นกัน แต่โจทย์ใหญ่พวกนี้ ก็ได้รับการแก้ไขอย่างยอดเยี่ยม เอาของเก่าอย่าง แฮร์ริสัน ฟอร์ด มาร่วมในไทม์ไลน์ของตัวละครใหม่อย่าง ไรอัน กอสลิ่ง ได้ให้ความรู้สึกแบบตอน เจ.เจ. แอบรัมส์ มาปลุก Star Trek (2009) ให้กลับมาจากความตายสู่กระแสหลักได้อีกครั้งเลย
แต่ปัญหาก็มีล่ะครับ คือช่วงแรกของหนัง เราติดตามผ่านสายตาของ เค (ไรอัน กอสลิ่ง) ตำรวจเบลดรันเนอร์ที่ได้รับภารกิจตามเก็บมนุษย์เทียมผิดกฏหมายทั้งหลาย แล้วในคดีหนึ่งทำให้เขาต้องสืบสวนลึกลงไปเจอปมปริศนาต่อ ๆ ไปราวมีคนวางไว้จนจากคดีเล็ก ลามกลายเป็นเรื่องราวใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์มนุษย์ได้เลย แต่ก่อนที่ปมปัญหาจะก่อร่างเป็นตัวได้ชัดให้เราอยากรู้คำตอบนั้น มันก็ใช้เวลาพอสมควร พูดตรง ๆ คือแอบง่วงเหมือนกัน ถึงแนะนำว่าต้องทนผ่านสักครึ่งทางไปให้ได้ครับ พอต่อติดกับปมปริศนาแล้วคราวนี้โคตรลุ้น โคตรระทึกเลย ไม่มีหลับแล้วแน่นอน
ตัวละครที่ยอมรับเลยว่าดีงามมาก ทำให้หนังทรงพลังขึ้น นอกจากตัวหลักที่แทบกราบในฝีมืออยู่แล้วทั้ง ไรอัน กอสลิ่ง กับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด รวมถึงตัวร้ายทรงอำนาจซึ่งแสดงโดย จาเร็ด เลโต กับหุ่นสาวจอมโหดคู่กายที่แสดงโดย ซิลเวียร์ โฮคส์ ก็เป็นตัวขับขั่วตรงข้ามให้หนังตื่นเต้นดูน่าเอาใจช่วยตัวหลัก จนแอ็คชันฉากไคลแม็กส์นี่เกร็งจิกเบาะได้เลยครับ
อีกตัวละครที่เปี่ยมสีสันจนต้องขอพูดถึงเลยคือ จอย โปรแกรมแฟนสาวที่ได้ เอนา เดอ อาร์มัส แสดง ก็มีส่วนสำคัญนอกไปจากเสน่ห์ทางรูปลักษณ์ที่ตรึงสายตาผู้ชมทุกครั้งที่ปรากฏตัวแน่แล้ว ในการชูประเด็นปรัชญาสำคัญของหนังในเรื่อง ของจริง-ของปลอม/ สิ่งที่มีอยู่จริง-ไม่มีอยู่จริง/ ความจริง-ความลวง ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตรงนี้เป็นคีย์ใหญ่ของหนังที่สืบมาจากตั้งแต่งานดั้งเดิมเลยครับ เพราะมีประเด็นมนุษย์จริงกับมนุษย์เทียมเป็นพื้นอยู่แล้ว แต่ภาคนี้ขยี้ได้สุดกว่ามาก แม้ด้านสัญญะในภาพอาจไม่ได้ฉูดฉาดเว่อวัง แต่โดยเนื้อโดยแก่นของตัวเองมันสมฐานะหนังปรัชญาไซไฟชั้นสูงจริง ๆ ครับ
สุดท้ายก็อยากฝากว่า ควรหลีกเลี่ยงสปอยล์ก่อนไปชมครับ เพราะมันพลิกได้อ้าปากหวอถึงสองสามรอบเลยทีเดียว จริง ๆ หนังก็ยังเปิดช่วงให้โต้เถียงกันได้เยอะหลังหนังจับครับ แต่ไปเก็บรายละเอียดมาเองจะเถียงกับเพื่อนสนุกกว่า 555
อีกอย่างคือถึงหนังจะดูได้เลยเพราะตัวละครใหม่ แต่ก็มีส่วนของภาคเก่าตัวละครเก่า รวมถึงช่วงเวลาที่ถูกข้ามไปแต่ปรากฏในหนังสั้นก่อนภาคใหม่มาถึง เป็นจุดสำคัญให้งง ๆ อยู่ด้วย อย่างน้อยจึงควรรู้จักตัวละครกับเรื่องภาคแรกคร่าว ๆ กับดูหนังสั้น 3 เรื่องใหม่นี้ผ่านตาไว้บ้างครับ (อ่านย้อนภาคแรกและรวมหนังสั้นได้ที่บทความนี้ของเราเลย [งัดตู้]ย้อนอดีต 35 ปี Blade Runner (1982) ก่อนชมภาคต่อ)
ถ้าปีนี้สายหนังสงครามมี Dunkirk หนังสายสยองมี It หนังสายไซไฟที่ยกมาตรฐานได้สูงไม่ต่างกันก็มี Blade Runner 2049 เรื่องนี้นี่ล่ะครับที่เราต้องคารวะอีกเรื่อง เวทีออสการ์ปีนี้น่าจะมันเลยล่ะ