หน้าหนังสื่อถึงความเป็นหนังรักโรแมนติกเคล้าน้ำตากันอย่างชัดเจน ทั้งตัวอย่างและโปสเตอร์หนัง ที่ได้ชื่อแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ อดีตสไปเดอร์แมน และ แคลร์ ฟอย จากซีรีส์ดัง The Crown มาเป็นชื่อขาย หนังดัดแปลงมาจากเรื่องจริงในยุค 50s ของโรบิน คาเวนดิช ชายหนุ่มที่เป็นพ่อค้าใบชา เขาพบรักกับสาวสวย ไดอานา และได้แต่งงานกัน ด้วยอาชีพทำให้เขาต้องเดินทางไปเคนยาบ่อย ๆ และไปติดเชื้อโปลิโอจากที่นั่น โรบินล้มป่วยกะทันหันเชื้อเข้าสู่ไขสันหลังอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้โรบินกลายเป็นอัมพาตเฉียบพลัน ขยับได้แค่หัว โรบิน รู้สึกสมเพชชะตากรรมตัวเองและรู้สึกผิดที่เพิ่งแต่งงานและไม่อยากให้ไดอานาต้องมาเผชิญชะตากรรมเลวร้ายกับเขา จึงขอให้หมอฉีดยาให้เขาตาย แต่ไดอานาที่เพิ่งตั้งท้องก็ปฏิเสธและยืนยันจะดูแลโรบินตลอดไป
ในตัวอย่างหนังเราจะเห็นว่าทั้งโรบินและไดอานาไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนเตียงคนไข้แต่พ่อแม่ลูกกลับนั่งรถ นั่งเครื่องบินท่องไปทั่ว ชีวิตครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง พลอตหนังที่ดูเเหมือนเบาบางกับชีวิตของผู้ป่วยอัมพาตสุ้ชีวิต แต่เอาเข้าจริงเนื้อหาหนังกลับมีอะไรมาเล่ามากมายตลอด 2 ชั่วโมงของหนังและเล่าได้อย่างน่าติดตาม หนังไม่ใช้เวลาปูความเรื่องราวของโรบินและไดอานากันนานเลย เจอกันปั๊บตัดฉับมาแต่งงานเลยเพราะต้องการใช้เวลาที่เหลือเน้นไปที่ความสัมพันธ์ในยามลำบากเสียมากกว่า และจากนั้นอีกไม่นานก็เข้าสู่เหตุการณ์ที่โรบินเป็นอัมพาตทันที ชอบการแสดงสีหน้าของแคลร์ ฟอย ในฉากรับรู้ข่าวร้ายนี่มาก อึ้งแต่น้ำตาไม่ไหล ถ่ายทอดความรู้สึกหนักอยู่ข้างในออกทางสายตา เป็นการเล่นน้อยได้มากจริง ๆ นี่คือการแสดงของดาราดีกรี 1 ลูกโลกทองคำนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
หนังเริ่มเรื่องมาแบบนี้สิ่งที่คาดคือเวลาที่เหลือจากนี้คือหนังดราม่าหนัก ๆ เครียด ๆ ฟูมฟายน้ำตาแน่นอน แต่ผิดคาดครับ เรื่องราวทีเดินหน้าต่อไปจากนี้กลับเต็มไปด้วยสีสันและรอยยิ้มจากมุกเล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากไดอานา ที่ไม่ปล่อยให้สามีนอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลดึงดันที่จะเอาโรบินกลับไปดูแลต่อเองที่บ้านศึกษาการดูแลคนป่วยจากพยาบาล และบรรดาเพื่อนฝูงที่น่ารักของโรบินที่ออกแบบคิดค้นเก้าอี้คนป่วยที่มีแบตเตอรี่ในตัวและติดตั้งเครื่องช่วยหายใจทำให้โรบินอยากไปที่ไหนก็ได้ ประเด็นของหนังจากนี้ก็มุ่งไปที่วิวัฒนาการของเก้าอี้เป็นหลัก ไอเดียจากโรบินเองและเพื่อนที่เป็นนักประดิษฐ์ออกแบบและพัฒนาทำให้คนป่วยเป็นอัมพาตทั่วโลกได้ออกมาท่องโลกกัน ไม่ต้องใช้ชีวิตซึมเศร้าอยู่บนเตียง
แต่ท้ายที่สุด Breathe คือหนังรักดราม่าก็จะต้องมีฉากดราม่าครับ และเป็นฉากที่เอาอยู่จริง เชื่อว่าคนที่แพ้หนังแนวทางนี้ ได้น้ำตาแตกกันแน่นอน เป็นฉากที่โชว์ความสามารถของนักแสดงหลักล้วน ๆ และไม่พยายามขยี้จนเกินไปนักไม่ใช้ดนตรีประกอบเลยมีแต่บทสนทนาที่กินใจ ปล่อยให้คำพูดวิ่งไปถึงใจคนดูได้เองเพราะเราได้รู้จักผูกพันกับตัวละครพ่อแม่ลูกครอบครัวมาชั่วโมงกว่าแล้วต้องมาถึงนาทีที่ลาจาก นับว่าเป็นอีกงานยากที่แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ทำได้ดีครับ เพราะบทโรบิน บังคับให้เขาต้องแสดงด้วยสีหน้าสายตาเท่านั้น แอนดรูว์เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับบทแบบนี้ ด้วยพื้นฐานเป็นดาราที่สายตาดูเศร้าอยู่แล้ว
ผู้กำกับแอนดี้ เซอร์คิส เป็นบุคคลสำคัญที่ต้องเอ่ยถึงอย่างชื่นชมครับ ทุกคนรู้จักเขาในนามนักแสดงโมชั่นแคปเจอร์อันดับหนึ่งของวงการ ผู้สวมบท”กอลลัม” “ซีซาร์” จากไตรภาค Planet Of The Apes และ “คิงคอง” แอนดี้ เลยนำความสามารถตรงนี้มาเปิดบริษัท Imaginarium ร่วมกับโจนาธาน คาเวนดิช ผู้เป็นผู้อำนวยการสร้างหนัง และโจนาธาน คนนี้แหละที่เอาไอเดียเรื่องชีวิตพ่อของเขา โรบิน คาเวนดิช มาเสนอกับแอนดี้ว่าน่าเอามาสร้างเป็นหนังนะ แล้วโจนาธาน ก็เขียนเรื่องโรบิน คาเวนดิช จากความทรงจำของเขาเอง ซึ่งในหนังเราก็จะได้เห็นตัวโจนาธานตั้งแต่อยู่ในท้องจนถึงวัยหนุ่ม ด้วยภาพลักษณ์หน้าตาของแอนดี้ จะออกไปทางแนวผู้ร้าย ถ้าเรื่องไหนที่เขาได้แสดงด้วยหน้าตาตัวเองก็มักจะได้บทผู้ร้ายเสมอ พอได้ยินว่าผลงานกำกับเรื่องแรกของเขาเป็นหนังรักโรแมนติก จึงทำให้ดูขัดกับภาพลักษณ์ของเขาอยู่มาก แต่ผลลัพธ์ก็อยู่ในจุดที่น่าชื่นชมครับ เป็นหนังที่ดูได้ราบรื่นมาก วางจังหวะได้ลงตัว ครบรส พาอารมณ์หนังไปได้ถึงในทุกจุด ลงท้ายได้สวยงามฟีลกู๊ดไปกับตัวหนัง ทำให้รู้สึกยินดีที่ได้รู้จักชื่อโรบิน คาเวนดิช ผู้อยู่เบื้องหลังคุณประโยชน์กับผู้ป่วยอัมพาตอีกนับหมื่นนับแสนคนทั่วโลกที่ได้นั่งเก้าอี้เข็นติดเครื่องช่วยหายใจจากไอเดียของเขา
เป็นตัวเลือกที่ดีในสัปดาห์นี้นะครับ ผู้กำกับเก่ง นักแสดงเยี่ยม หนังถ่ายสวย ได้ยิ้ม ได้ซาบซึ้งไปกับหนัง และเดินออกจากโรงด้วยความรู้สึกดี ๆ