เป็นหนึ่งในหนังประเภทฟีลกู้ดสำหรับดูช่วงที่ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันในช่วงปลายปีชัดเจน ตั้งแต่สร้างมาจาก นิยายขายดีของนิวยอร์กไทม์ โดยนักเขียน อาร์.เจ. ปาลาซิโอ ได้ดารานำระดับล่ารางวัลมาร่วมทีมทั้งตัวนำอย่าง เจคอบ เทรมบ์เลย์ นักแสดงเด็กที่น่าจับตามองที่สุดในรอบหลายปีจากเรื่อง Room (2015) และเหล่าดาราแม่เหล็กที่ไม่เห็นในหนังแนวครอบครัวฟีลกู้ดมานานมากแล้วอย่าง จูเลีย โรเบิร์ตส์ และ โอเว่น วิลสัน ซึ่งรับประกันฝีมือดราม่าน่ารัก ๆ อยู่แล้ว ด้านผู้กำกับและเขียนบทก็ได้ สตีเฟน ชฺบอสกี ที่มีผลงานกำกับจากหนังวัยรุ่นจี๊ดใจเรื่อง The Perks of Being a Wallflower (2015) และเขียนบทจากเรื่อง Beauty and the Beast (2017) มาคุมทิศทาง ดูจากหน้าหนังบวกทีมเบื้องหน้าเบื้องหลัง ก็ยอมใจให้เป็นหนังดราม่าฟีลกู้ดน่าดูที่สุดแห่งปีไปเรียบร้อยครับ
Wonder มีนิยายฉบับแปลไทยในชื่อ ชีวิตมหัศจรรย์ของออร์กัสต์ โดย สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน เล่าเรื่องของ ออร์กี้ หรือ ออร์กัสต์ พูลแมน เด็กชายที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ทำให้ใบหน้าเขาดูน่าหวาดกลัวสำหรับคนอื่น ๆ แต่นอกจากนั้นออร์กี้ก็คือเด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ชอบสตาร์วอร์ส รักหมา และชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เขาถูกปกป้องจากพ่อแม่มาตลอดจนวันหนึ่งที่เขาต้องเลิกเรียนเองที่บ้านและออกไปเรียนร่วมกับเด็ก ๆ คนอื่นที่โรงเรียน นั่นจึงเป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่แตกต่างกับตัวเอง ทั้งกับตัวออร์กี้เอง กับพ่อแม่ของเขา และรวมถึงทุกคนที่ได้เข้ามาสัมผัสเรื่องราวของออร์กี้ โดยผู้เขียนได้เล่าผ่านมุมมองของแต่ละคนที่ทำให้เห็นเรื่องราวสองด้านสุดแสนประทับใจ และเรียกน้ำตาจากผู้อ่านมานับไม่ถ้วน
และสำหรับในฉบับหนังเอง ก็ถ่ายทอดวิธีการเล่าออกมาได้สวยมากครับ ทั้งการแบ่งพาร์ทเล่าแต่ละมุมมองของหลากตัวละครที่รอบตัวออร์กี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของออร์กี้ที่เป็นมุมมองหลักเคียงข้างไปกับออร์กี้ พี่สาวของออร์กี้ที่ต้องเสียสละความสนใจของพ่อแม่ไปให้น้องชาย และเหล่าเพื่อน ๆ ของออร์กี้ที่มีมุมมองต่อออร์กี้แตกต่างกันไป
แต่เดิมทีเรื่องนี้ตัวนิยายเองก็มีพลังมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยปาลาซิโอได้เริ่มเขียนขึ้นหลังจากวันหนึ่งเธอได้พาลูกของเธอวัย 3 เดือนเศษออกไปข้างนอก และได้พบกับเด็กที่มีอาการของโรค เทรชเชอร์ คอลลินส์ (Treacher Collins syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมตั้งแต่กำเนิดที่ทำให้ใบหน้าและขากรรไกรล่างเติบโตผิดรูป เมื่อลูกของเธอเห็นเด็กคนนั้นก็เกิดกลัวร้องไห้ออกมา ทำให้เธอต้องรีบพาเดินออกจากจุดนั้นเพราะไม่อยากให้ตัวเด็กที่เป็นโรคดังกล่าวรู้สึกไม่ดี
จากเหตุการณ์วันนั้นทำให้เธอไคร่ครวญถึงชะตากรรมของเด็กเหล่านี้ ที่มีโอกาสเกิดสูงถึง 1 ใน 50,000 ราย และมันทำให้เธอนึกถึงเนื้อเพลง Wonder ของ นาตาลี เมอร์แชนท์ ที่พูดถึงเหล่าเด็กที่เกิดมาผิดปกติว่าเป็น สิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าสร้างสรรค์ขึ้น จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ของเธอ และถูกนำมาใส่ในตัวหนังด้วย โดยดัดแปลงเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เพื่อนคนหนึ่งของออร์กี้เคยได้พบออร์กี้ก่อนจะมารู้จักกัน
ที่เกริ่นมายาวเพื่อบอกว่า นี่คือหนังที่เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจมหัศจรรย์มาก ๆ และมันก็ก่อให้เกิดหนังที่ให้กำลังใจ และพลังใจกับเราได้วิเศษมาก ๆ ไม่แพ้กันเลยครับ วันที่ท้อแท้วันที่ีู้สึกไม่มีพลัง หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดูคิดว่าคงมองโลกได้สวยงามขึ้นมากทีเดียว ทั้งมุกที่มากมายให้อมยิ้มไปกับความน่ารักของเด็ก ๆ และเหล่าพ่อแม่ หรือแม้แต่คุณครู ที่ไม่เพียงสร้างความสุขยังทิ้งคำพูดสอนใจดี ๆ ไว้ให้มากเลยทีเดียว เช่นว่า “เพราะเป็นแม่ที่แคร์ลูกที่สุดไง คำพูดของแม่ที่มีต่อลูกจึงสำคัญที่สุด มากกว่าคำพูดของคนอื่น” “ถ้าวันหนึ่งต้องเลือกระหว่างความถูกต้อง และความกรุณา จงเลือกความกรุณา” “แค่ทำตัวเป็นเพื่อนมันไม่พอหรอกนะ เธอต้องเป็นเพื่อนจริง ๆ ด้วย” อันนี้ผมแปลหยาบ ๆ นะ แต่ในตัวหนังแปลซับได้ดีกว่านี้ครับ อยากให้ลองไปชมเอง
ช่วงที่ไม่ชอบก็มีแต่ไม่ร้ายแรงครับ อาจเพราะเป็นหนังสือเด็กมาก่อน มันก็เลยจะโลกสดใส ๆ กันไป อุปสรรคมันก็จะแบบเด็ก ๆ เพื่อนงอนเพื่อนอะไรแบบนั้น และหลายครั้งมันก็แก้ปัญหากันแบบง่าย ๆ เลย คือทุกคนดูเป็นคนดีอยู่ทุนเดิมอะไรอย่างนั้น ซึ่งการเล่าหลายมุมมองก็เลยมีทั้งมุมมองที่ดีมาก ๆ อย่างตัวพี่สาวที่ชื่อ เวีย (Via) ที่แปลว่า “ผ่าน” ซึ่งเธอรู้สึกว่าทุกคนมองผ่านตัวเธอไปไม่ค่อยมีใครใส่ใจ เป็นต้น และก็มีมุมมองที่ดูไม่ค่อยลงตัวมาเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกครับมันเล็กน้อยมากเหลือเกิน จนขนาดที่ระหว่างดูแค่นึกติหนังในใจก็รู้สึกละอายขึ้นมาเลย เพราะหนังมันบริสุทธิ์มาก ๆ และมีทัศนคติที่ดีมาก ๆ นั่นเอง
ไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะครับ ไปดูเถอะ เพื่อตัวเองและคนรอบข้าง และเพื่อโลกเราที่ดีขึ้นด้วย หนังเข้าฉายรอบพิเศษตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. นี้ และฉายรอบปกติตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. นี้ครับ รีบไปชมกันครับก่อนจะโดนเจไดฟันรอบฉายหายหมด