จีน่า (เบลค ไลฟ์ลี่) สาวตาบอดจากอุบัติเหตุฝังใจในอดีตได้ติดตาม เจมส์ (เจสัน คลาร์ก) ผู้จัดการบริษัทประกันชีวิตมาอยู่กรุงเทพมหานคร แต่หลังจากการปลูกถ่ายดวงตาสำเร็จยิ่งจีน่ามองเห็นโลกมากเท่าไหร่ความรักของพวกเขาก็ยิ่งสั่นคลอนมากขึ้นเท่านั้น
หนังดราม่าหนักหน่วง ซับซ้อน จากผู้กำกับ มาร์ค ฟอร์สเตอร์
All I See Is You ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ ผู้ผ่านหนังดราม่ามาหลากแนวตั้งแต่หนังเมโลดราม่าเข้าขั้นน้ำเน่าอย่าง Monster’s Ball (2001), ดราม่าเรียกน้ำตาฟีลกู๊ดอย่าง Finding Neverland (2004), หรือกระทั่งหนังดราม่าตลกเหนือจริงในดวงใจผมอย่าง Stranger Than Fiction (2006) และกับ All I See Is You นี้ก็เหมือนการจับเอาอารมณ์อีโรติกทริลเลอร์มาบอกเล่าผสมผสานความเหนือจริงซึ่งต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ไม่ง่ายสำหรับคนดูทั่วไปนัก เพราะบทหนังที่ ฟอร์สเตอร์เขียนร่วมกับ ฌอน คอนเวย์ ถือว่ามีความซับซ้อนทั้งพลอตและคาแรคเตอร์ตัวละคร เอาง่ายๆแค่นางเอกอย่างจีน่าที่ต้องเปลี่ยนจากสาวตาบอดทึนทึกมาเป็นสาวสวยสุดฮอตหลังดวงตาของเธอได้เห็นโลก หนังก็เล่นออกแบบโทนการเล่าเรื่องเป็นสามส่วนที่มีความสุดขั้วของมันทั้งอุบัติเหตุในอดีตที่ทำให้เธอกลัวกับการมองเห็นโลก ความอ่อนโยนของเธอต่อคนรอบข้างและความปรารถนาในตัณหาสุดล้ำลึกที่ยากจะเข้าใจที่แม้ทั้งสามส่วนจะส่งผลต่อพัฒนาการตัวละครแต่ด้วยความที่บทหนังทำให้ตัวละครของเธอดูคลุมเครือเป็นสีเทามากขนาดที่ว่าดูจบเรายังตอบไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเธอยังรักเจมส์อยู่หรือเปล่า ก็ทำให้คนดูไม่อาจคล้อยตามไปกับการตัดสินใจของตัวละครตัวนี้ได้แบบเต็มร้อย ซึ่งอาจเป็นข้อดีว่าแม้หนังจะบอกเล่าเรื่องราวของเจมส์น้อยกว่าแต่พอหนังไม่ให้เราเอาใจไปเข้าข้างจีน่า ชะตากรรมของเจมส์หลังจีน่าผ่าตัดจึงสร้างความเห็นอกเห็นใจให้คนดูไปโดยปริยาย
ในทางกลับกันความซับซ้อนของเรื่องก็กลายเป็นจุดบอดของหนังอยู่ไม่น้อย กล่าวคือบทหนังใส่ปมต่างๆนาๆมามากมายที่สำคัญคือหลายปมของหนังไม่ได้รับการเฉลยทั้งการถ่ายคลิปขณะที่เธอกับเจมส์เกือบจะมีอะไรกันบนรถไฟที่ท้ายสุดหนังก็ไม่เฉลยว่ามันทำให้เจมส์รู้สึกยังไงหรือลงมือกระทำอะไรเพื่อรั้งให้จีน่าอยู่กับเขา หรือแม้กระทั่งประเด็นยาหยอดตาที่ทำร้ายดวงตาใหม่ของจีน่าที่นอกจากหมอจะให้ยาตัวใหม่และกำชับให้เธอใช้แค่ยาตัวนี้แล้ว สุดท้ายหนังก็ไม่ได้เฉลยว่าเจมส์มีส่วนในการทำให้ยาหยอดตาเป็นพิษกับดวงตาเธอหรือไม่และอีกหลายปมที่หนังโยนใส่คนดูตลอดองก์สองไปยันองก์สามที่ปราศจากการอธิบายโดยตรง แม้หนังต้องการให้คนดูได้ตัดสินด้วยตนเองแต่ก็ถือเป็นภาระที่มากเกินไปเสียหน่อยสำหรับคนดูทั่วไป
เมืองไทยในหนัง- แปลกตาแต่ไม่มีประโยชน์ในการเล่าเรื่อง
ประเด็นนี้เราอาจกล่าวได้สองส่วน เริ่มกันที่การถ่ายภาพที่ต้องชมว่าผู้กำกับภาพอย่าง แมตไธอัส โคเอนนิกสวีเซอร์ (Matthias Koenigswieser) จับสีสันของเมืองไทยที่แม้แต่ของใกล้ตัวอย่างตลาดขายดอกไม้ออกมาได้สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจมาก หรือแม้กระทั่ง บ้านแสงศูรย์ โลเคชั่นยอดฮิตของละครไทยหนังก็ถ่ายออกมางดงามดั่งบ้านไม้ไทยในอุดมคติจริงๆ แต่สำหรับการเล่าเรื่องแล้ว การใช้เมืองไทยของหนังก็ออกจะน่าตะขิดตะขวงใจอยู่เสียหน่อยคือแม้จะมาอยู่เมืองไทย แต่ จีน่าและเจมส์แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนไทยนักจนฉากหลังที่เป็นเมืองไทยก็กลายเป็นแค่แบ็คดรอปแปลกตาแต่หนังไม่ได้ใช้เมืองไทยในฐานะโลกของตัวละครหรือมีความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของตัวละครนัก เรียกได้ง่ายๆว่านอกจากอุโมงที่สเปนที่เป็นดั่งความหลังฝังใจนางเอกแล้ว เมืองไทยก็แทบไม่ได้มีความสำคัญในแง่การเล่าเรื่องตัวละครนัก
นักแสดงกับบทบาทที่ท้าทายถึงจิตวิญญาณ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เบลค ไลฟ์ลี่ คือจุดสนใจของหนังในภาพรวม เนื่องจากบทหนังเองก็ออกแบบการเล่าเรื่องให้อยู่ในมุมมองเธอเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเธอก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีทั้งการแสดงอารมณ์ดราม่าหรือการเปลี่ยนแปลงบุคลิกไปสู่สาวฮอตที่ทำให้เธอได้บริหารเสน่ห์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ซึ่งคงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าเบลค ไลฟ์ลี่คือปัจจัยสำคัญที่ดึงคนดูให้อยู่กับหนังได้ทั้งเรื่องจริงๆ ด้าน เจสัน คลาร์ก ตัวบทหนังให้เหตุผลไว้ชัดเจนที่เลือกเขามาแสดงคู่กับสาวฮอตอย่างเบลค ไลฟ์ลี่ก็เพื่อแสดงถึงความไม่แน่ใจ ภาวะสั่นคลอนหลังเมียคนสวยเริ่มมองเห็นและกลัวทำให้เมียผิดหวังว่าเขาไม่ใช่ชายในอุดมคติของเธอ ซึ่งคลาร์กก็ทำให้คนดูเห็นใจในชะตากรรมของเขาอยู่ไม่น้อยและสามารถพาตัวเองออกมาอยู่กลางสปอตไลต์ได้ทุกฉากแม้จะต้องร่วมฉากกับสาวฮอตอย่างเบลค ไลฟ์ลี่ก็ตาม
แม้ All I See Is You จะเป็นหนังที่ดูยาก ซับซ้อนและปราศจากการอธิบายตรงๆแต่ในทางกลับกันมันก็ท้าทายคนดูให้ลองมองความรักด้วยใจและสำรวจลึกถึงตัณหาที่อยู่คู่กับความรักได้อย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว