เส้นเรื่องหลักที่ดำเนินมาถึงภาค 8 รอบนี้ได้ไรอัน จอห์นสัน ผู้กำกับที่สร้างชื่อมาจาก Looper (2012) หนังไซไฟถูกใจนักวิจารณ์ และเข้าตาทางดิสนีย์ให้มารับผิดชอบสานต่อเรื่องราวในภาคนี้ทั้งเขียนบทภาพยนตร์และกำกับ เนื้อหาในภาคนี้สานต่อกันทันทีจาก The Force Awakens หนังเดินเรื่องขนานกัน 2 ทิศทาง ทางหนึ่งเล่าชะตากรรมของฝ่ายต่อต้านภายใต้การนำของเลอากำลังโดนทัพใหญ่ของจักรวรรดิโจมตีอย่างนัก เลอาต้องพาไพร่พลหลบหนี โดยมีโพ ฟินน์ และโรส หน้าใหม่ของทีม ร่วมกันเป็น3ทหารเสือที่เป็นความหวังอันริบหรี่ของฝ่ายต่อต้าน ส่วนอีกทางก็เล่าวีรกรรมของเรย์ ที่ดั้นด้นไปพบลุค สกายวอล์คเกอร์ ทั้งเพื่อเรียนวิชาเจไดและตามลุคกลับไปช่วยฝ่ายต่อต้าน

ภาคนี้เป็นภาคที่ยาวที่สุดในแฟรนไชส์สตาร์วอร์ส เพราะลากยาวถึง 152 นาที แต่ก็เป็นภาคที่อัดแน่นไปด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้มีช่วงเวลานาทีไหนที่ปล่อยให้ง่วงเหงาหาวนอนได้เลย เป็นภาคที่หวังตลาดวงกว้างอย่างจริงจัง และปั้นตัวละครเจเนอเรชั่นใหม่ขึ้นมาเพื่อกวาดสาวกสตาร์วอร์สรุ่นใหม่ ๆ เพราะดิสนีย์ก็ปล่อยข่าวแล้วว่ากำลังเตรียมงานไตรภาคต่อไปแล้วด้วย ภาคนี้เรียกได้ว่าเป็นภาคปฏิบัติการบนอวกาศอย่างจริงจัง ถ้าใครชอบฉากยานรบโจมตีต่อสู้กัน ได้ดูจุใจแน่ ๆ ครับ เพราะเล่นฉากใหญ่กันตั้งแต่เปิดเรื่องเลย แล้วก็ทำได้ลุ้นตีนจิกกันเลยทีเดียว บรรดาฉากแอ็คชั่นเล็กใหญ่ก็ระดมมาต่อเนื่อง ยานคลาสสิกมากันครบทั้ง X-Wing , TIE Fighter และ AT-TA หรือยานรบเดินสองขาที่คุ้นตากันดีก็มาด้วย มิลเลเนียม ฟอลคอน ก็กลับมาโชว์ลวดลายแก่แต่เก๋า

สิ่งที่รู้สึกผิดกลิ่นไปมากก็คือบรรดามุกตลกที่อัดมาถี่ ได้เสียงหัวเราะดังลั่นตั้งแต่ 5 นาทีแรก หลังจากนั้นมุกเล็กมุกใหญ่ก็มาเพียบทั้งในบทสนทนาและมุกที่มาจากบรรดาสัตว์ต่างดาว แล้วก็เป็นมุกที่ได้ผลเสียด้วย ไอ้หัวเราะก็หัวเราะอยู่นะแต่ในเสียงหัวเราะนั้นก็ชวนให้ฉงนว่านี่ดูสตาร์วอร์สหรือมาร์เวลยุคหลังอยู่กันแน่ The Last Jedi กลายเป็นสตาร์วอร์สภาคที่ดูมีความสดใส มากสีสันทั้งมุกและฉากแอ็คชั่น ดูเอาใจตลาดอย่างชัดเจน และยิ่งเป็นภาคที่ต่อเนื่องจาก Rogue One ยิ่งเป็นความรู้สึกที่ขัดกันทางอารมณ์อย่างชัดเจน กลับกลายเป็น ว่าภาคแยกอย่าง Rogue One กลับรักษาความหม่น สุขุม จริงจัง ที่เป็นกลิ่นอายเดิม ๆ ของสตาร์วอร์สไว้ได้มากกว่าภาคต่อทางตรงอย่างภาคนี้เสียอีก สำหรับแฟน ๆ รุ่นใหม่น่าจะถูกอกถูกใจกับภาคนี้เป็นพิเศษ ถ้าพิจารณาในด้านความบันเทิงต้องบอกว่านี่คือภาคที่โคตรสนุก มีบรรดาสัตว์ต่างดาวมากมายมาสร้างสีสัน ตัวฟอร์ก เพนกวินต่างดาวหน้าตาน่ารัก บรรดาแม่บ้าน จิ้งจอกคริสตัล และม้าต่างดาว ทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดถึงบทบาทของดิสนีย์ที่แทรกเข้ามาอย่างมากและเป็นสูตรที่ดิสนีย์เคยทำสำเร็จกับหนังมาร์เวลก็เลยลามมาในสตาร์วอร์สด้วย ซึ่งก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายของดิสนีย์ล่ะ ถ้าไม่สร้างฐานแฟนใหม่ก็จะสานต่อแฟรนไชส์ราคาแพงเรื่องนี้ไปได้ยาก

สำหรับสาวกดั้งเดิมก็อาจจะรู้สึกขัดใจกับอารมณ์บรรยากาศที่ภาคนี้ที่ต่างไปจากเดิม แต่ขณะเดียวกันก็น่าจะอิ่มเอมใจกับการได้เห็นตัวละครคลาสสิกทั้งเลอา , ลุค และตัวของละครคลาสสิกตัวหนึ่งจากไตรภาคแรกก็มาเซอร์ไพรส์ด้วย , ทั้งลุค และ เลอา คู่ถูกยกระดับมาเป็นดารานำของภาคนี้ แต่ละคนได้มีฉากเด่นของตัวเอง โดยเฉพาะลุคนี่”โคตรเท่ๆๆๆ”  วีรกรรมของพี่ได้เสียงโห่ฮิ้วลั่นโรงกันเลย ส่วนบทเลอา ที่ดูมีบทบาทมากขึ้นในภาคนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกใจหายกับการจากไปของแครี่ ฟิชเชอร์ แล้วก็ยิ่งชวนให้สนใจใคร่รู้ว่าทีมงานจะหาทางลงเอยให้กับบทเลอาอย่างไรในภาค 9 บรรดาตัวประกอบเก่า ๆ ที่เหลือยังทำหน้าที่ได้ดีเช่นเดิมทั้งชิวเบคก้า , C3PO , R2D2 และ BB8 ที่ภาคนี้ถูกยกระดับให้ทำหน้าที่ฮีโร่อยู่บ่อยครั้ง

งานออกแบบศิลป์ทำได้โดดเด่นมาก ในฉากท้องพระโรงของสโนค ที่เน้นสีแดงเข้มตัดกับดำ ถ่ายทอดได้ถึงความโฉดและพลังอำนาจ หนังเลือกเล่นกับสีแดงได้โดดเด่นจริง และถูกนำมาใช้ในฉากรบท้ายเรื่องบนดาวร้าง เป็นดาวที่ปกคลุมด้วยหิมะแต่ดินใต้หิมะเป็นสีแดงสด พอยานวิ่งไปบนหิมะก็ตะกุยดินสีแดงขึ้นมาเป็นเส้น กลายเป็นการเล่นสีสันแดงตัดกับขาวได้ทั้้งความสวยงามและความตื่นเต้น ด้านการออกแบบอาวุธภาคนี้เราก็ได้เห็นไลต์เซเบอร์ในรูปลักษณ์แปลก ๆ มากมาย ที่ล้วนเป็นอาวุธในมือบรรดาองครักษ์ของสโนค ที่แรกเห็นก็ดูเหมือนจะมีพิษสงดีหรอกนะ

จากนี้มีการพูดถึงฉากต่าง ๆ ในหนังแต่ไม่เผยจุดสำคัญ……………………………………………………………………..

บทภาพยนตร์ฝีมือของไรอัน จอห์นสัน ทำได้ดีมากในการกระจายความเสมอภาคให้ตัวละคร ต้องยกย่องว่าเก่งจริงเพราะตัวละครภาคนี้เยอะมาก คือของเดิมก็เยอะอยู่แล้ว ภาคนี้ยังเพิ่มหน้าใหม่อีกหลายตัวทั้ง โรส นักบินหน้าหมวยในฝ่ายต่อต้าน , นายพลหญิงโฮลโด บทของลอร่า เดิร์น และ ดีเจ บทของเบนนิซิโอ เดลโตโร ทุกคนได้มีช่วงเวลาบนจอกันแบบพอเพียง ส่วนตัวละครเดิมอย่าง โพ , ผู้บัญชาการฮักซ์ และ สโนค ต่างก็ได้เวลาบนจอมากขึ้นจากภาคที่แล้วเส้นเรื่องของภาคนี้ถือว่าเดินหน้าไปพอสมควร มีการเผยอดีตระหว่างลุคกับเบน โซโล แต่อดีตของเรย์ยังถูกเก็บงำต่อไป ดราม่าระหว่างตัวละครหลัก เบน โซโล กับแม่และลุงก็ถูกหยิบมาพูดถึงพอสมควร แต่ไม่ได้ขับเน้นไปถึงจุดสะเทือนใจได้เท่าภาคก่อน

พาร์ทแอ็คชั่นของฝ่ายต่อต้านและจักรวรรดิเป็นเรื่องราวที่ดูสนุกตื่นเต้นมาก แต่ส่วนที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจก็มีอยู่มากในพาร์ทของเรย์ ที่หลาย ๆ จุดมันช่างลงเอยได้ง่ายเสียเหลือเกิน การเป็นเจไดดูไม่ยากเย็นนัก ส่วนสโนคก็ออกมาพล่ามอะไรมากมายไม่ได้ดูน่ากลัวลึกลับได้เท่ากับพัลพาทีนในไตรภาคแรก การดวลไลต์เซเบอร์ในช่วงท้ายก็ไม่สะใจคุ้มค่าการรอคอย ที่แรกเริ่มตั้งท่าใส่กันคนดูก็สูดปากฟิ้วแล้วว่าน่าจะมันส์แต่กลับแยกย้ายภายในไม่กี่นาที ทำให้ภาคนี้ไม่มีฉากดวลไลต์เซเบอร์ที่น่าจดจำเลย ความขลังทั้งในส่วนของเจไดและซิธแทบเลือนหายเพราะถูกเบียดบังด้วยสีสันความบันเทิง ก็เป็นไปตามทิศทางการตลาดของดิสนีย์ ซึ่งแน่นอนว่าได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นรายรับมหาศาลคุ้มค่าการลงทุนที่ซื้อลูคัสฟิล์มมาแน่นอน สรุปได้ว่าเป็นภาคต่อที่สนุกมาก แต่ก็แลกด้วยการหายไปของกลิ่นอายที่คุ้นเคย

 

Play video