จากท้องถนนสู่โชว์แมนผู้ยิ่งใหญ่ พีทีบาร์นัม (ฮิวจ์ แจ็คแมน) ขอท้าทายอคติของผู้คนด้วยการจัดโชว์ละครสัตว์สุดยิ่งใหญ่ร่วมกับฟิลลิป คาไลล์ (แซค แอฟรอน) ดาราบรอดเวย์ตกอับจนเขาและทีมงานได้มีโอกาสแสดงต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษสร้างชื่อเสียงให้คณะของเขามากมาย จนกระทั่งการเข้ามาของเจนนี่ ลินด์ (รีเบคกา เฟอร์กูสัน) นักร้องโอเปร่าสาวสวยทำให้บาร์นัมเปลี่ยนไปจนคนรอบข้างของเขาโดยเฉพาะ แชริตี้ (มิเชล วิลเลียมส์) ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาต้องหาทางทำให้บาร์นัมค้นพบคุณค่าของความฝัน จินตนาการและหัวใจของโชว์ที่เขาหลงลืม
มิวสิคัลของชายขายฝันยุค 1870
จะว่าไปเรื่องราวของ พีทีบาร์นัม ชายผู้เป็นเหมือนบิดาของธุรกิจบันเทิงอเมริกาก็เพียบพร้อมไปด้วยดราม่าที่สามารถทำเป็นหนังสนุกๆได้อยู่แล้วคือมีทั้งดราม่าชายสู้ชีวิต ความรักที่ต้องฟันฝ่า หรือแม้กระทั่งสารการเมืองอย่างเรื่องสีผิวและเผ่าพันธุ์ที่เป็นประเด็นร่วมในหนังฮอลลีวูดปี 2017 แทบทุกเรื่อง แต่กระนั้นบทหนังของ เจนนี่ บิคส์ ที่ร่วมเขียนกับ บิล คอนดอน ผู้กำกับและเขียนบทที่มีผลงานมิวสิคัลดังๆอย่าง Chicago (2002) และ Dreamgirls (2006) ก็เลือกจะไปเน้นสร้างฉากโชว์เพื่อบอกเล่าเกร็ดชีวิตของบาร์นัมมากกว่าเลยทำให้บทหนังเองขาดความรัดกุมในการเล่าเรื่องราวชีวิตตัวละครแต่ละตัว เราเลยไม่ได้รู้ว่าชีวิตของบาร์นัมมีตื้นลึกหนาบางยังไงเพราะหนังก็เลือกจะเล่าชีวิตของเขาและคนรอบข้างในมุมสว่างไปเสียหมดเลยทำให้ตัวละครขาดมิติจนเรื่องราวขาดความสมเหตุสมผลไปมากพอสมควร ดังนั้นหากใครคาดหวังที่จะเห็นหนังดราม่าที่บอกเล่าเรื่องราวชายสู้ชีวิตแบบเจาะลึกชีวิตตัวละครเผชิญวิบากกรรมแบบเอาเป็นเอาตายนี่คงไม่ใช่หนังที่เหมาะกับคุณแน่ๆ
ตรงกันข้ามนี่คือหนังมิวสิคัลร่วมสมัยที่เหมือนลูกผสมระหว่างภาพยนตร์และมิวสิควีดีโอที่ใช้เพลงมาบอกเล่าช่วงชีวิตตัวละครเป็นช่วงๆ ซึ่งยอมรับเลยว่าหลายช่วงตอนของหนังได้กลิ่นความเป็นมิวสิคัลเว่อร์วังอลังการแบบหนังของผู้กำกับบาซ เลอห์มานอย่าง Moulin Rouge (2001) ที่เล่าเรื่องความรักของนักเขียนหนุ่มกับดาราสาวในยุค 1899 ที่ปารีส และเนื่องด้วยยุคสมัยในหนังที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน เราเลยได้เห็นร่องรอยการบูชาครูตั้งแต่งานออกแบบเสื้อผ้าของเอลเลน มิรอจนิค ไปจนถึงการออกแบบโชว์ที่ไม่ไร้ซึ่งความคิดสร้างสรรค์เลยทำให้ทุกฉากตอนของหนังสร้างความตื่นตาตื่นใจได้เป็นอย่างดี
คลิกเพื่อชมเบื้องหลังงานเพลงของหนัง
งานสร้างสุดอลังการจากทีมงานมืออาชีพ
ความยากของการทำมิวสิคัลคงหนีไม่พ้นการออกแบบต่างๆในหนัง ซึ่งก็โชคดีสำหรับ The Greatest Showman ที่แม้ ไมเคิล เกรซี ผู้กำกับหน้าใหม่จะมีผลงานเพียงมิวสิกวีดีโอและโฆษณาเท่านั้นแต่ทีมงานเบื้องหลังของหนังล้วนแต่ผ่านงานหนังเจ๋งๆมาแล้วทั้งสิ้นตั้งแต่ เบนจ์ พาเซค และจัสติน พอล ที่เพิ่งได้ออสการ์จาก La La Land (2016) มาแต่งเพลงสุดฮึกเหิมให้หนังควบคู่ไปกับงานประพันธ์ดนตรีประกอบของ จอห์น เดบนีย์ (The Jungle Book) และจอห์น ทราพาเนเซ (Straight outta Compton) จนได้ลูกผสมระหว่างความเป็นพ็อพและมิวสิคัลแบบงานคาร์นิวัลจนทำให้โชว์ของคณะละครสัตว์ในเรื่องดูคึกคักแต่ไม่ด้อยความคลาสสิกเลยแม้แต่น้อย
ด้านงานสร้างของ นาธาน คราวลีย์ ที่ออกแบบงานสร้างให้หนังของคริสโตเฟอร์ โนแลน ทั้งไตรภาคอัศวินรัตติกาลมาจนถึง หนังสงครามเรื่องล่าสุดอย่าง Dunkirk ก็เล่นสนุกกับสีสันต่างๆในหนังได้อย่างมีชีวิตชีวา และเนื่องจาก ไมเคิล เกรซี ช่ำชองงานเทคนิคพิเศษด้านภาพหรือวิช่วลเอฟเฟกต์การถ่ายทำของหนังเลยผสมผสานวิช่วลเอฟเฟกต์เข้ากับงานกำกับภาพของ เชมัส แม็คการ์วีย์ ที่เล่นกับการตัดต่อแบบแมตช์คัตตั้งแต่ช็อตเปิดเรื่องที่เปลี่ยนภาพจากฮิวจ์ แจ็คแมนในคณะละครสัตว์สู่ตัวละครพีทีบาร์นัมวัยหนุ่มน้อยที่ส่องกระจกให้เงาตนเองที่สะท้อนซ้อนกับชุดสูทในร้านเพื่อบ่งบอกถึงความฝันที่ต้องฟันฝ่าได้เป็นอย่างดี ซึ่งการออกแบบงานตัดต่อให้เป็นแมตช์คัตทั้งเรื่องยังผลให้เกิดความต่อเนื่องเสมือนโชว์คืนความสุขที่ไม่รู้จบได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เหล่าโชว์แมน แอนด์ โชว์เกิร์ล ผู้คืนความสุขส่งท้ายปี
สำหรับ ฮิวจ์ แจ็คแมน ถือว่าหายห่วงอยู่แล้วสำหรับงานมิวสิคัลเพราะก่อนหน้านี้เคยผ่าน Les Misérables (2012) มาก่อนแม้ The Greatest Showman จะไม่ต้องตะโกนร้องเพลงเพื่ออัดระหว่างถ่ายทำแบบเรื่องที่แล้ว แต่ทักษะการเต้นและเคลื่อนไหวของแจ็คแมนก็แทบทำให้เราลืมไปเลยว่าเรากำลังดูชายวัย 49 ร้องเล่นเต้นระบำอยู่
ส่วนมิเชล วิลเลี่ยมส์ ก็ยังคงความเป็นนักแสดงคุณภาพแต่เสียดายที่หนังให้เวลาเธอน้อยเกินไปทั้งที่บทแชริตี้ถือเป็นหัวใจหลักทื่ทำให้บาร์นัม กลับมามองเห็นคุณค่าของครอบครัวอีกครั้ง โดยความโดดเด่นกลับไปอยู่ที่ รีเบคก้า เฟอร์กูสัน ที่ทำหนุ่มๆใจสั่นมาแล้วจาก Mission Impossible Rogue Nation (2015) ในบทเจนนี่ ลินด์ นักร้องโอเปร่าสาวสวยที่แม้เธอจะไม่ได้ร้องเพลงเองแต่แค่โชว์หน้าสวยๆก็เพียงพอทำให้หนุ่มๆได้หายคิดถึง หลังปีนี้อยู่ดีๆค่ายหนังก็ถอดโปรแกรม Snowman ของเธอในไทยไปแบบเงียบๆส่วนนักแสดงสมทบอย่าง แซค เอฟรอน ก็บริหารเสน่ห์แบบหนุ่มหล่อและโชว์สกิลการเต้นที่ติดตัวมาตั้งแต่ซีรีส์ High School Musical ให้สาวๆได้ใจละลายกันไม่น้อยรวมถึงดาวรุ่งอย่าง เซนดายา ที่เราเพิ่งได้เจอเธอใน Spider-Man Homecoming ไปไม่นานก็เปล่งประกายเสน่ห์ชวนหลงรักตั้งแต่วินาทีแรกที่กล้องจับใบหน้าเก๋ๆของเธอเลยทีเดียว
เมื่อดูจากทีมงานก็ไม่แปลกใจนักที่หนังมีความเป็นมิวสิคัลหรือหนังเพลงร่วมสมัยที่ทั้งบันเทิงและเปี่ยมไปด้วยศิลปะการถ่ายทอดสร้างความตื่นตาตื่นใจทำให้ The Greatest Showman เป็นหนังคืนความสุขส่งท้ายปี 2017 ได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว