มาถึงภาคที่ 4 วิญญาณก็ยังตามติด และเนื้อหาของหนังก็ยังคงเป็นวีรกรรมของมนุษย์ป้านักปราบผี เอลิส เรนเนียร์ ที่รอบนี้ย้อนไปเล่าเรื่องราวของเอลิส ตั้งแต่ยังเด็กกันเลยว่าเธอมีพรสวรรค์แต่พ่อที่เป็นพัสดีคุมนักโทษกลับไม่รู้สึกปลาบปลื้มกับความสามารถเห็นผีของเธอและเฆี่ยนตีเอลิสทุกครั้งที่เธอบอกว่าเห็นผีที่คอยคุกคามอยู่ในบ้านของครอบครัว ผ่านมา 63 ปี เอลิสได้รับการจ้างวานให้ไปปราบผีอีกครั้ง แต่รอบนี้บังเอิญว่าเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ที่ย้ายมาอยู่ในบ้านสมัยเด็กของเอลิสและวิญญาณร้ายตัวเดิมยังคงวนเวียนอยู่ เอลิสตัดสินใจกลับไปจัดการฝันร้ายในอดีตอีกครั้ง
ลีห์ วานเนล คู่หูคู่ซี้ของผู้กำกับเจมส์ วาน ยังคงกลับมาในหน้าที่เขียนบทต่อเนื่องเป็นภาคที่ 4 และก็รับบทเป็น “สเปค” หนึ่งในทีมปราบผีและเป็นตัวปล่อยมุกให้กับหนัง ที่เข้าคู่กันได้ดีกับ ทัคเกอร์คู่หูร่างใหญ่นักประดิษฐ์ มีมุกแป้กที่ทัคเกอร์พยายามเล่นอยู่ 2 ครั้งในหนังคือมุกพ้องเสียง เธอเป็น psychic = ไซคิก (หมอผี) ส่วนพวกเราเป็น Side Kick = ไซด์คิก (ลูกสมุน,ลิ่วล้อ,ลูกกระจ๊อก) แต่ในหนังใช้คำว่า แม่หมอ-ลูกหมอ
ส่วนหน้าที่ผู้กำกับจากที่ลีห์ เคยกำกับเองในภาคที่แล้ว ภาคนี้ก็โยนหน้าที่ให้กับ อดัม โรบิเทล ผู้กำกับหนังสยองขวัญหน้าใหม่ ก็มาสานต่ออารมณ์สยองได้ต่อเนื่องดี มองในด้านหนังสยองขวัญหนังตอบสนองความต้องการของแฟนหนังแนวนี้ได้เต็มอิ่ม เพราะหนังวางโจทย์มาว่าบ้านเก่าของเอลิสเต็มไปด้วยวิญณาณมากมาย ฉากลุ้นสะดุ้งก็เลยมาเต็ม ไม่ต้องให้เว้นช่วงกันนาน เดี๋ยวลุ้น เดี๋ยวลุ้น แทบปิดตากันทั้งเรื่องล่ะ ห้องใต้ดินยังคงถูกใช้เป็นสมรภูมิหลักของฉากสยองเหมือนกับอีกหนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันเรื่องก่อนหน้านี้ ดีใจนะที่บ้านเราไม่นิยมสร้างห้องใต้ดินไว้ในบ้าน โดยรวมความน่ากลัวของภาคนี้ถือว่าทำได้ใกล้เคียงกับ Annabelle Creation ที่ได้เสียงร่ำลือถึงบรรดาฉากสยองที่อัดมาแน่นสะใจคอหนังผี แต่จุดที่ชอบที่สุดในภาคนี้คือการเล่นล่อหลอกกับคนดูให้สับสนว่าที่เห็นอยู่นี่ตกลงเป็นคนหรือผี ก็ถือว่าเป็นจุดหักมุมเล็ก ๆ กลางเรื่องได้เหมือนกันนะ
แม้ว่าหนังจะย้ายจุดศูนย์กลางเรื่องจากเดิมที่เล่าเรื่องครอบครัวแลมเบิร์ต แล้วย้ายมาเล่าเรื่องของหมอผีเอลิส แต่หนังก็ยังคงไม่ทิ้งฉากท่องปรโลกที่เป็นประเด็นหลัก ของแฟรนไชส์ Insidious ดีหน่อยที่รอบนี้ลดความเป็นแฟนตาซีของฉากปรโลก แต่ทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นค่อยสมกับปรโลกหน่อย บทหนังของลีห์ ทำได้ดีในการสร้างปริศนาต่าง ๆ นานา ให้ชวนติดตามใคร่รู้ถึงเบื้องหลังอันดำมืดของพ่อ ที่มาของผีแต่ละตัวในบ้าน จุดประสงค์ของผีกุญแจ การเผยเบื้องหลังของเจ้าของบ้านใหม่ ประเด็นที่ใส่เข้ามานี่เยอะมาก ไม่พอยังเพิ่มครอบครัวของน้องชายเข้ามาเพิ่มอรรถรสอีกในครึ่งหลัง ให้หลานสาวของเอลิสมีพรสวรรค์เห็นผีเช่นเดียวกับป้า บอกได้เลยว่าแต่ละประเด็นที่ระดมใส่เข้ามาทำให้หนังเดินหน้าไปอย่างสนุกสนานน่าติดตาม ผูกชนวนไว้มากรอการเฉลย แต่พอมาถึงจุดคลี่คลายนี่สิ กลับเหมือนถูกทิ้งค้าง นอกจากการสะสางปัญหาที่ดูรวบรัดง่ายดายแล้ว ปริศนาอีกมากก็ถูกเพิกเฉยทิ้งไว้ ไม่ได้มีการอธิบาย ที่มาของผีกุญแจ ผีเด็กในบ้านหายไปไหน รวมถึงกิจกรรมโหดของพ่อก็ไม่ได้ถูกขยายแล้วสุดท้ายพ่อมีจุดจบอย่างไร ประเด็นเหล่านี้ล้วนถูกละทิ้ง แต่เลือกที่จะจบแบบดราม่าความรักความผูกพันในครอบครัว แล้วก็ขึ้นปมใหม่เพื่อไปสานต่อวีรกรรมครั้งหน้าของป้าเอลิสในภาค 5
ผู้กำกับ อดัม ก็คงมาตรฐานของหนังสยองขวัญในจักรวาลของเจมส์ วาน ไว้ได้ดี มีฉากให้ลุ้นกันถี่ยิบสะใจคอหนังแนวนี้ ตุ้งแช่ถี่ ๆ บิลท์กันทั้งเสียงทั้งภาพเอาให้มันสะดุ้งกันตายไปข้างหนึ่ง บทก็ปูมาดีป้าหลานแท็กทีมกันปราบผี มีคู่หูไฮเทคเป็นแบ๊คอัพ ผูกมาดีแล้วล่ะแต่มาเสียเอาตรงการแก้ปมเนี่ยล่ะ ที่เหมือนไม่รู้จะแก้ยังไงให้สวย ก็ปล่อยมันทิ้งไปเฉย ๆ ซะงั้น กลายเป็นข้อด้อยของภาคนี้ไป แต่จะว่าไปถ้ามองตามมาตรฐานของแฟรนไชส์ INSIDIOUS ก็ไม่ได้แย่ไรหนักหนาเพราะอย่างไรแฟรนไชส์นี้ก็เป็นรองกว่า The Conjuring อยู่แล้ว คนดู INSIDIOUS เองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ได้มาดูแล้วมีผีดุ ๆ โหด ๆ มีฉากให้ลุ้นสะดุ้งหนังก็มีให้ในระดับที่น่าพอใจ จากนี้ก็รอลุ้นต่อไปว่า เอลิส เรนเนียร์ จะครอสโอเวอร์ไปเจอกับผัวเมียปราบผีเอ็ด และ โลเรน วอร์เรน จาก The Conjuring ไหม