ตั้งแต่เด็กจนโตจำได้เลยว่าทุกตรุษจีนจะมีหนังของเฉินหลงเข้าฉายทุกปี แต่ระยะหลังพอหนังฮ่องกงเสื่อมความนิยม เราเลยแทบไม่ได้เห็นหนังเฉินหลงที่มาพร้อมกับสโลแกนโปรแกรมยักษ์ต้อนรับตรุษจีนกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรปีนี้เราก็ได้ดูหนังเฉินหลงที่ได้อารมณ์แบบหนังไซไฟแอ็คชั่นผสมกังฟูเข้ากับเรื่องราวคล้ายๆคอมิคค่ายมาร์เวลยังไงอย่างงั้นอย่าง Bleeding Steel ที่ถือเป็นการประเดิมนำเข้าหนังจีนของ ไฟว์สตาร์ ค่ายหนังไทยที่ช่วงหลังเริ่มมาจับธุรกิจนำเข้าหนังต่างประเทศบ้างแล้ว
เนื้อเรื่องของ Bleeding Steel ก็จะเหมือนเอาพลอตหนังไซไฟฮอลลีวูดมาผสมกับหนังดราม่าครอบครัว โดยเฉินหลงรับบทเจ้าหน้าที่ ลินตง ที่ต้องใช้ชีวิตในซิตนีย์เพื่อปกป้อง แนนซี่ หรือ ซีซี ลูกสาวของเขาที่ฟื้นจากความตายหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายหัวใจจักรกลจากฝีมือของนักวิทยาศาสตร์แต่เขาจำเป็นต้องปกปิดตัวตนเพื่อให้รอดพ้นจาก อังเดร อดีตหนูทดลองที่กลายเป็นปีศาจหัวใจจักรกลสังหารที่ต้องการจับตัวแนนซี หวังใช้เลือดรักษาร่างกายและแก้แค้น ลินตง ที่ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องปลอดเชื้อหลังการปะทะกันเมื่อ 30 ปีก่อน โดยมี ลีสัน หัวขโมยหนุ่มที่มุ่งตามหาสมบัติของครอบครัวมาร่วมในเกมไล่ล่าครั้งนี้ด้วย
เมื่อดูจากเนื้อเรื่อง Bleeding Steel แล้วรู้สึกคุ้นๆก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะมันแทบเอาพลอตหนังไซไฟฝรั่งดังๆอย่าง Universal Soldier (1992) หรือกระทั่งหนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลอย่าง Iron Man (2008) ผสมกับอารมณ์หนังสายลับอย่าง Mission Impossible (1996) มายำๆรวมๆกันแล้วใส่ดราม่าพ่อลูกที่กลายเป็นสัญลักษณ์ในหนังเฉินหลงยุคหลังๆเพื่อเป็นการไถ่บาปที่เขาเคยทอดทิ้ง เจซี ชาน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนให้เผชิญปัญหายาเสพย์ติดเพียงลำพัง ดังนั้นหากคนดูจะแสวงหาความแปลกใหม่คงต้องบอกว่าการดู Bleeding Steel น่าจะให้อารมณ์ “เอ๊ะ! คุ้นๆว่าเคยดูหนังเรื่องไหนมา.”ได้ตลอดเวลามากกว่า
ซึ่งใครคุ้นเคยหนังฮ่องกงยุค 90 จะรู้ว่ามีหนังฮ่องกงแนวๆนี้ในอดีตหลายเรื่องที่อาศัยพลอตไซไฟล้ำๆเพียงเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ในการนำเสนอฉากบู๊แบบกังฟู สำหรับ Bleeding Steel ก็เช่นกัน เรียกได้ง่ายๆว่าทิ้งความสมเหตุสมผลทางวิทยาศาสตร์ไปเลย การนำ แมคกัฟฟิน (สตีเวน สปีลเบิร์กกับจอร์จ ลูคัส ใช้เรียกวัตถุที่ทำให้เกิดเรื่องสำหรับหนังชุด Indiana Jones) หรือ วัตถุกระตุ้นเรื่องอย่าง หัวใจจักรกล มาก็เพียงเพื่อเป็นเหตุผลที่อยู่ดีๆตัวเอกก็เก่งขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลเท่านั้น ซึ่งด้วยความที่มันยึดตำราหนังบู๊ฮ่องกงยุค 90 นี้ เลยทำให้เราเห็นความไม่สมเหตุสมผลประปรายอยู่ตลอดเรื่อง เรียกได้ว่า ฉากทดลองล้ำๆหรือฉากยิงกันนี่ไม่ได้สำคัญเท่าฉากต่อยเตะ รวมถึง CGที่หนังก็ไม่ได้เน้นสมจริงเว่อวังอะไรแถมบางจุดยังทำให้นึกถึงหนังโจวซิงฉืออย่าง คนไม่ธรรมดายืดได้หดได้อีกต่างหาก
แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าความเสื่อมถอยของสังขารเฉินหลงที่เล่นฉากผาดโผนเสี่ยงตายไม่ได้เหมือนก่อนก็ส่งผลต่อความดุดันของฉากแอ็คชั่นในเรื่องอยู่พอสมควร เพราะหากจำกันได้ในบรรดาหนังฮ่องกงที่เฉินหลงเคยเล่นเรามักจะได้ดูฉากต่อยเตะที่ถ่ายแบบลองเทคให้เห็นความต่อเนื่องแม้แต่การเปลี่ยนมุมกล้องก็ทำให้เห็นความต่อเนื่องของการเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัยความแข็งแรงจากร่างกายนักแสดง แต่สำหรับ Bleeding Steel เราจะเห็นได้เลยว่าหนังต้องอาศัยการตัดต่อเหตุการณ์มีภาพ อินเสิร์ต (Insert) แทรกเหตุการณ์เพื่อตัดฉากแอ็คชั่นให้สั้นลงและเน้นฉากระเบิดตูมตามและฉากที่ถ่ายกับผ้าใบบลูสกรีนเพื่อทำ CG ทีหลังมากกว่า จนภาพรวมของฉากแอ็คชั่นอาจไม่สะใจคอหนังบู๊ฮ่องกงที่หวังเห็นฉากต่อสู้ต่อยเตะโหดๆหรือฉากเสี่ยงตายแสนเร้าใจเหมือนเดิมนัก ขนาดฉากโรยตัวจากโอเปร่า เฮาส์ ที่ซิตนีย์ยังดูไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าใดนักเลย
นอกจากเฉินหลงแล้ว ยังมีนักแสดงดาวรุ่งอย่าง โชว์ ลัว ในบท ลีสัน ที่ส่องประกายสเน่ห์เล่นได้ทั้งบทบู๊และบทตลกคู่กับเฉินหลงได้อย่างไม่เคอะเขินและดูท่าว่าทั้งผู้กำกับและเฉินหลงก็ดูจะดันพ่อหนุ่มคนนี้อยู่ไม่น้อยด้วยการให้บท ลีสัน เป็นโจรหนุ่มสุดแสบที่มักพาตัวเองไปเจอเหตุการณ์กระอักกระอ่วนอยู่เสมอ ขอแนะนำให้ดูการปลอมตัวครั้งแรกของเขาแล้วจะเห็นความทุ่มเทในฐานะนักแสดงของ โชว์ ลัว เลยทีเดียว ส่วน นานะ อู หยาง ในบท แนนซี ก็น่าจะทำให้หนุ่มๆเพ้อได้ไม่ยากด้วยใบหน้าสวยๆหมวยๆและบทบาทแบบสาวแสบแถมยังเล่นดราม่าได้ดีอีกต่างหาก เรียกได้ว่าหากมีผลงานต่อเนื่องก็น่าจะเตรียมแจ้งเกิดได้เลย ส่วน เอริกา เซียหู ที่มารับบทผู้ช่วยเฉินหลงก็มาในลุคผมสั้นสวยเปรี้ยวและรับบทตำรวจได้อย่างน่าเชื่อถือเช่นกัน เรียกได้ว่างานนี้เหมือนเฉินหลงต้องการให้ Bleeding Steel เป็นเวทีแจ้งเกิดกับนักแสดงรุ่นใหม่มากกว่าเป็นเวทีโชว์ผลงานตัวเองก็ว่าได้
ท้ายสุดแล้ว Bleeding Steel ก็ยังถือเป็นความบันเทิงที่เหมาะกับคอหนังที่อยากผ่อนคลายสมองไม่ต้องการคิดอะไรมาก ไม่สนเหตุผลในการดำเนินเรื่องและไม่สนความสมจริงของเอฟเฟกต์ซีจีใดๆ รวมถึงแฟนของเฮียเฉินหลงที่เชื่อว่าแค่ได้เห็นหน้าก็คงหายคิดถึง และทางไฟว์สตาร์ยังเพิ่มความฮาด้วยเสียงพากย์พันธมิตรที่คราวนี้นอกบทกันแบบทั้งฉากแต่ฮาใจขาดดิ้นจริงๆ