ตอนดูตัวอย่างหนัง ก็ยังมองไม่ออกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังขวัญใจผู้ชมตามเวทีประกวดได้ยังไง เรื่องดูจะออกดราม่าแถมบุคลิกของตัวละครก็ไม่ได้เป็นมิตรนักด้วย แต่พอได้ดูหนังจริงก็ต้องยอมรับล่ะว่าตัวอย่างถ่ายทอดอารมณ์หนังมาได้ไม่หมด และจริง ๆ หนังมี “ของ” มากกว่าที่คิดเยอะมาก จากคิดว่าเข้าไปเครียด ๆ อย่างมากก็ซึ้ง ๆ กลายเป็นทั้งตลก ทั้งน้ำตารื้น และที่สำคัญได้คิดและตรึกตรองชีวิตของเราเองด้วย ยอมรับเลยสมราคาคุยมากครับเรื่องนี้ เดินเข้าโรงกันระวัง ๆ ล่ะ อาจตกหลุมรักเอาง่าย ๆ เลย
Lady Bird เป็นผลงานของเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ/นักเขียนบท/นักแสดงชื่อดัง อย่าง เกรต้า เกอร์วิก ที่บางคนอาจคุ้นหน้าเธอจากหนังหลาย ๆ เรื่อง อย่างเรื่องล่าสุดที่เราเคยรีวิวไป 20th Century Women (2016) ในบท แอ๊บบี้ เป็นต้น แต่ผลงานที่โดดเด่นของเธอคงไม่พ้นการร่วมงาน ทั้งการรับบทนำและเขียนบทให้ผู้กำกับอินดี้ชื่อดัง โนอาห์ บอมบาค ในเรื่อง Frances Ha (2012) และ Mistress America (2015) ซึ่งฉายแววการเป็นนักเขียนบทที่ไม่ธรรมดาของเธอเฉกเช่นเดียวกับงานแสดง
ครั้งนี้เธอเลือกเล่าเรื่องการก้าวข้ามวัย ของ เลดี้เบิร์ด (เซอร์ช่า โรแนน) เด็กสาวที่ไม่พอใจในชีวิตตัวเองสักอย่าง เป็นวัยว้าวุ่นที่ยังมองไม่ออกว่าควรให้ค่าสิ่งใดในชีวิตดีเช่นเดียวกับวัยรุ่นทั่วโลก เธอไม่ชอบเมืองเกิดอย่างซาคราเมนโตที่แม้เป็นเมืองหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนียแต่แทบไม่มีใครรู้จัก เธอไม่ชอบชีวิตในรั้วไฮสคูลคาทอลิกสุดเข้มงวดที่ผู้ชายผู้หญิงยังต้องแยกห้องเรียน เธอเกลียดความไม่เก่งอะไรสักอย่างของตัวเอง เธอไม่ชอบใจที่ถูกแม่ดุด่าอยู่เสมอราวกับทำอะไรก็ไม่เคยถูกต้อง และที่สำคัญเธอเกลียดชื่อ คริสติน ที่พ่อแม่ตั้งให้ และเลือกประกาศชื่อ เลดี้เบิร์ด คือนามอันแท้จริงของตัวเอง
แต่ภายใต้ความไม่เข้าใจต่อแม่ของเธอ ต่อโลกของเธอ หนังก็ค่อย ๆ เผยมุมที่แสนอบอุ่น ตลกและปวดร้าวไปพร้อมกัน
“หนูเกลียดโรงเรียนคาทอลิกนั่น”
“ฉันต้องเข้าเวรเพิ่มในโรงพยาบาลโรคจิต เพื่อส่งแกเรียนโรงเรียนนั้น ก็เพราะพี่ของลูกเคยเห็นคนถูกแทงตายหน้าโรงเรียนรัฐไงล่ะ แกอยากเข้าโรงเรียนแบบนั้นเหรอ”
“แม่เคยภูมิใจในตัวหนูมั้ย?”
“แม่เชื่อว่าลูกเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ลูกเป็นได้”
“แล้วถ้าดีที่สุดของหนูมันได้แค่นี้ล่ะ แม่จะชื่นชมหนูมั้ย?”
หนังความยาวเพียงชั่วโมงครึ่ง แต่เราได้เห็นแง่มุมชีวิตราวเข้าไปสิงอยู่ในชีิวิตประจำวันของเลดี้เบิร์ด แม้หนังจะทุ่มเวลามากกว่า 99% บนจอไปกับการมีเลดี้เบิร์ด แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังเต็มไปด้วยผู้คนที่อยู่รอบข้างเธอ ซึ่งล้วนแต่มีชีวิตที่น่าสนใจ และที่สำคัญพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเลดี้เบิร์ดอย่างที่เธอไม่เคยรู้ตัวมาก่อน จนวันที่อาจต้องเสียพวกเขาไป หนังถ่ายทอดแง่มุมนี้ได้อย่างงดงาม เปี่ยมด้วยมุกตลกเกินคาด และที่สำคัญมันมีสารบางอย่างที่เข้าถึงคนทุกคนที่เคยผ่านการเป็นวัยรุ่นหรือยังเป็นอยู่ แถมเข้าแล้วยังปักตามเราออกมายันนอกโรงเลยด้วย
ใครที่กลัวหนังรางวัล หรือหนังดราม่าครอบครัว นี่คือหนังที่ผ่านการพิสูจน์จากหลายเวที หลายรอบผู้ชมแล้วว่า มันคือหนังฟีลกู้ดน้ำดี ที่ดูออกมาจะทำให้อารมณ์ดีและมองโลกเปลี่ยนไป อาจไม่ใช่หนังที่ลงทุนใหญ่โตมีดาราดังมากมาย แต่หัวใจของหนังเรื่องนี้โตกว่าทุนของมันไปไกลเลยครับ
หนังเข้าฉาย 8 มีนาคมนี้ อาจจะนานไปหน่อย แต่อยากให้จดไว้ว่าไม่ควรพลาดชมครับ
วิเคราะห์การเข้าชิงออสการ์
หนังเรื่องนี้เข้าชิง 5 สาขา โดยเป็นสาขาสำคัญทั้งสิ้นเลย คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยก่อนหน้านี้หนังเคยคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำมาได้ก่อนแล้ว จึงเป็นตัวเต็งสำคัญในเวทีออสการ์นี้เช่นกันครับ แต่มองจากที่ผ่านมานั้นเวทีออสการ์ไม่ค่อยตามผลจากเวทีลูกโลกทองคำนัก ถ้าไม่ใช่หนังสายแข็งมาแรงจริง ๆ
ส่วนตัวคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะมีลุ้นในสาขาที่เหลือมากกว่า โดยเฉพาะสาขาสมทบหญิง แต่กระนั้นก็ต้องฟาดฟันกับคู่แข่งที่ยากเช่นกัน มองอย่างนี้หนังอาจประสบความสำเร็จในเวทีอื่น แต่คงไม่ใช่ออสการ์ครั้งนี้ครับ ซึ่งก็เช่นเดียวกับหนังอินดี้มวยรองเรื่องอื่น ๆ เช่นกันที่ต้องเจอคู่แข่งตัวเก็งสุดน่ากลัว ทั้ง The Shape of Water และ Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ครับ