มาร์เวลขึ้นชื่อในความตลาด แบบทุกคนดูเอาบันเทิงได้ จนหลายคนก็มองว่ามันลูกกวาดไปหน่อย แต่หนังเรื่องนี้คือการเอาจุดเด่นของหนังมาร์เวลแต่ละเรื่องก่อนหน้ามาใช้แบบขึงขังและดราม่าจริงจัง สืบทอดแนวทางหลัง Captain America: Civil War ได้สมการรอคอยของสายขมปนหวานทีเดียว
หนังมาร์เวลประเดิมปีนี้ด้วยหนังราชาเสือดำ Black Panther ซึ่งเคยปรากฏกายแบบแจม ๆ ผิว ๆ มาก่อนแล้วใน Captain America: Civil War นี่จึงเป็นการเปิดตัวแบบเต็ม ๆ ให้เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงทั้ง เจ้าชายทีชัลลา หรือ แบล็กแพนเธอร์ รวมถึงจักรวาลของวากานด้าประเทศอารยธรรมสุดล้ำที่ซ่อนตัวจากโลกมาตลอดนับแต่ประวัติศาสตร์มนุษย์กำเนิดด้วย
หนังได้ ไรอัน คูเกลอร์ ผู้กำกับผิวสีที่เคยทำหนังดี ๆ ที่เป็นเหมือนภาคต่อหนังมวย ร็อกกี้ บัลบัว มาก่อนอย่าง Creed (2015) ซึ่งสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของคนผิวสีในเรื่องนี้ได้อย่างกลมกล่อม ไม่หนักการเมืองเกิน แต่ก็ไม่เบาจนตื้นเขินในประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติ เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่พูดประเด็นทางสังคมเรื่องผิวสี และเชิดชูเพศหญิงได้อย่างไม่ระคายความบันเทิงเรื่องหนึ่งเลย
ครั้งนี้สิ่งที่ว้าวมากคือ มาร์เวลพาเราสู่โลกทัศน์ใหม่นามว่า วากานด้า หลังจากเคยพาไปดูทั้งวิทยาการล้ำสมัยทั้งชีวภาพและหุ่นกลไก ทั้งดินแดนโพ้นอวกาศ จนถึงโลกเวทย์มนต์มาแล้ว ซึ่งความพิเศษของวากานด้าคือมันรวมจุดเด่นของโลกทัศน์ที่เคยถูกนำเสนอก่อนหน้ามาผสมดีไซน์แบบชนเผ่าแอฟริกาได้อลังการ แปลกตา หวือหวา ชวนมองตลอดเวลาของหนัง มันมีทั้งการเพิ่มพลังกายแบบกัปตันอเมริกา มีเกราะแบบไอออนแมน มียานบินแบบแก๊งการ์เดี้ยนออฟแกแล็กซี่ และมีโลกวิญญาณความเชื่อแบบ ดร.สเตรนจ์ แต่มีวัฒนธรรมชนเผ่าของตนเองทั้งการตกแต่งร่างกาย เสื้อผ้า บ้านเมือง ท่าทางการร่ายรำและพิธีกรรม นี่จึงเป็นพื้นที่ใหม่ที่น่าค้นหามากขึ้นด้วย
สิ่งที่น่าชื่นชมต่อมาคือ การขับเรื่องราวต่าง ๆ คือ
- ดราม่าในครอบครัวแบบพจมาน แต่ไม่น้ำเน่าหน่อมแน้มแบบธอร์ แถมเพิ่มความเข้มแบบจริงจังให้ได้ลุ้น ยิ่งการต่อสู้ตัวต่อตัวนี่สนุกมาก มีใช้ศิลปะต่อสู้หลากหลาย นี่ยังต้องรวมถึงอุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ ที่เหมือนดูเจมส์ บอนด์ ผสมไอออนแมน ฉาบด้วย ดร. เสตรนจ์ เลยทีเดียว
- การก้าวพ้นวัยของ ทีชัลลา (แชดวิก บอสแมน) จากเจ้าชายสู่การเป็นราชา ทั้งสถานะใหม่ สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปจนท้าทายการมีอยู่ของวากานด้า การตัดสินใจที่ลำบากระหว่างทำเพื่อโลกกับเพื่อวากานด้า รวมถึงการเติบโตทางจิตใจที่จะยอมรับว่าสิ่งที่เป็นมาของวงศ์ตระกูลอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
- ตัวร้ายอย่าง คิลล์มังเกอร์ (ไมเคิล บี. จอร์แดน) ที่ต้องยอมรับว่านับจาก บารอนซีโม ในซีวิลวอร์ที่ขึ้นเป็นตัวร้ายสุดประทับใจอันดับ 1 นี่เป็นตัวร้ายที่มีภูมิหลังสนับสนุนมิติตัวละคร มีทักษะและความโหดเหี้ยมที่ข่มขวัญฝ่ายพระเอกได้อย่างน่าจดจำอีกตัวหนึ่งทีเดียว
- ตัวละครอื่นที่น่าจดจำ คือหนังเรื่องนี้มีตัวละครเยอะมาก ที่สำคัญส่วนใหญ่คือตัวละครใหม่ที่เราต้องจำใหม่หมด แม้แต่ตัวพระเอกเองก็เถอะที่เราก็ต้องทำความรู้จักเขาใหม่เหมือนกัน แต่หนังก็สามารถสร้างทุกตัวละครได้น่าจดจำหมด เชื่อว่าหลายคนน่าจะจำน้องพระเอก และแม่ทัพสาวได้อย่างแน่นอน
จากตรงนี้เราสามารถพูดได้ว่านี่คือหนังมาร์เวลที่มีเรื่องราว การดีไซน์ศิลป์ต่าง ๆ รวมถึงความขัดแย้ง ประเด็นซ้อนที่น่าจดจำมากเรื่องหนึ่งทีเดียว
ในขณะที่ส่วนที่ด้อยอย่างเห็นได้ชัดคงเป็น งานซีจีโดยเฉพาะพวกฉากหลังอย่างป่าหรือเมืองนั้น ดูหลอกตาแบบเห็นได้ชัด กับส่วนของการส่งต่อสิ่งใหม่ ๆ ให้จักรวาลหนังภาพรวมที่น้อยไปนิด ในขณะที่อีกไม่กี่เดือนจะมี อินฟินิตี้วอร์ เกิดขึ้น แต่หนังกลับไม่บิ้วไปจุดนั้นนัก แต่มองในแง่หนึ่งหนังก็สร้างฐานให้ตัวเองแข็งแรงดี ใครชอบก็น่าจะติดเลยโดยไม่ต้องไปอิงฮีโร่ตัวอื่นมาช่วย
ฉากหลังเครดิตจบมี 2 ตัว ตัวแรกเป็นไปตามคาดไม่ได้ว้าวอะไร ส่วนตัวหลังผิวเผินก็ดูธรรมดาเป็นอะไรที่รู้อยู่แล้ว แต่ความเจ๋งคือชื่อที่เอ่ยนามในฉากนี้ส่งต่อไปถึงฮีโร่ตัวใหม่จากคอมมิค ทั้งยังเป็นการเปลี่ยนที่มาตัวละครตัวนั้นในฉบับหนังได้อย่างน่าสนใจ
นอกจากนั้นยังมีความแปลกทางวัฒนธรรมที่เมืองนอกคงว้าวมาก แต่สำหรับคนดูส่วนใหญ่บ้านเรา ส่วนตัวหวั่นใจว่าจะปรับไม่ทัน เพราะเราไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจกับความแปลกแนวนี้นัก ยิ่งตัวละครที่มีความสวยงามแบบชนเผ่าผิวสี ยิ่งน่าจะอินยากเข้าไปอีก ตัวนางเอกนี่คาดว่าน่าจะมีหลายคนไม่อินกับความรักในหนังเท่าใด แต่กับคนที่ไม่มีปัญหาพวกนี้ สิ่งเหล่านี้จะสร้างความว้าวให้ตัวหนังขึ้นอีกประมาณหนึ่งทีเดียว