หนังเอ็กคลูซีฟจากเน็ตฟลิกซ์ที่รอบนี้ได้ ผู้กำกับไซไฟอินดี้อย่าง ดันแคน โจนส์ แห่ง Moon (2009) และ Source Code (2011) มากำกับ ความดีเด็ดดวงคงเป็นบรรยากาศโลกอนาคตแบบไซเบอร์นัวร์ ที่แม้จะได้แรงบันดาลใจมาจากหลายเรื่อง (อย่าง Blade Runner เป็นอาทิ) แต่ก็มีรายละเอียดเป็นตัวเองได้อย่างน่าสนใจ
Mute เป็นเรื่องราวที่ดำเนินไปสองเส้นเรื่อง หนึ่งคือเรื่องของ ลีโอ (อเลกซานเดอร์ สการ์สการ์ด) หนุ่มบาร์เทนเดอร์หล่อล่ำผู้ไม่สนใจเทคโนโลยีใด ๆ เขาเคยประสบอุบัติเหตุในวัยเด็กจนเสียเส้นเสียงไป แต่ด้วยความเชื่อของครอบครัว (น่าจะเป็นลัทธิพยานพระยะโฮวา) ทำให้ไม่อาจผ่าตัดรักษาและกลายเป็นใบ้ในที่สุด เขาคบสาวเสิร์ฟแสนสวยอย่าง นาดิราห์ (เซเน็บ ซาเลห์) ด้วย แต่วันหนึ่งเมื่อเธอหายตัวไป เขาก็พบว่าเธอมีความลับซ่อนไว้มากกว่าที่เขารู้นัก และเส้นเรื่องของ ลีโอ ก็คือการไล่ล่าว่าเธอหายและไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ และอะไรบ้างที่เธอปิดบังเขาอยู่
อีกเส้นเรื่องเป็นเรื่องของคู่หูหมอเถื่อนอย่าง แคกตัส บิลล์ (พอล รัดด์) และ ดั๊ก (จัสติน เทอรู) ที่ให้บริการทางการแพทย์แก่ธุรกิจใต้ดิน ซึ่งโลกของพวกเขาวนเวียนอยู่รอบ ๆ เส้นเรื่องแรกของลีโออย่างไม่รู้ตัว และเรื่องราวก็จะมาบรรจบกันในตอนท้ายอย่างบีบหัวใจ
อย่างที่บอกว่าจุดเด่นคงเป็นจิตนาการโลกอนาคตแบบที่สมจริง ทำให้นึกถึงความเรียบง่ายเหมือนโลกปัจจุบันแต่มีของล้ำ ๆ แบบเนียน ๆ อย่างหนังเรื่อง Her (2013) ในขณะที่ความเป็นไซเบอร์นัวร์ก็ถ่ายทอดผ่านโลกอบายมุขยามค่ำคืน ทั้งด้านภาพ การใช้แสงไฟ รวมถึงเรื่องราวที่ว่าด้วยความลับและอาชญากรรมด้วย อีกประการคงเป็นการรวมดาราดัง ๆ ให้มารับบทบาทที่แตกต่างที่เราคุ้นเคย อย่าง พอล รัดด์ ที่มาไว้หนวดเคราเข้ม เป็นหมอเถื่อนสุดกักขฬะแต่ก็รักลูกสาวสุดใจ หรือสการ์สการ์ด ที่ปกติจะจำภาพเขาในหนังแอคชันเสียส่วนใหญ่ ก็ได้โชว์สกิลการสื่อสารโดยไม่ใช้เสียงพูด และที่น่าจดจำอีกคนคงไม่พ้น เทอรู ที่ถ่ายทอดความโรคจิตออกมาทะลุผิวหนังเลยทีเดียว นอกจากนี้การตีความเรื่องความรักของพ่อแม่ต่อลูกที่ใช้คอนทราสต์ระหว่างครอบครัวของลีโอ กับครอบครัวของแคกตัสก็ชวนให้ครุ่นคิดอย่างน่าสนใจมากครับ
แต่แม้จะมีจุดแข็งที่น่าจะพัฒนาได้สุดทางอารมณ์หนังนัวร์ แต่หนังกลับไม่มีส่วนใดที่น่าจดจำนัก ด้วยเพราะความบีบคั้นและการเฉลยความลับที่ไม่รุนแรงพอ บางคนน่าจะเดาส่วนหลักอย่างการหายไปของนาดิราห์ได้ตั้งแต่กลางเรื่องแล้วด้วย นอกจากนั้นความเป็นโลกอนาคตก็ไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์กับเนื้อหานัวร์ของหนังเลย คือเปลี่ยนฉากเป็นโลกปัจจุบันก็เล่าเรื่องได้สมบูรณ์เช่นเดิมครับ ก็น่าเสียดายทีเดียวที่อุตส่าห์ทำเป็นไซเบอร์นัวร์ทั้งที
โดยรวมเป็นงานจากผู้กำกับที่เราคาดหวังไว้มากกว่านี้ ดูเป็นงานพักมือหลังจากเป๋จาก Warcraft (2016) ที่ดูมีความส่วนตัวสูงในแง่ประเด็นความเป็นพ่อแม่ (เห็นได้จากคำอุทิศแด่พ่อแม่ของโจนส์ตอนเครดิตท้ายเรื่อง) แต่ก็เป็นแค่หนังไซไฟที่พอดูเพลิน ๆ ไม่ถึงกับน่าจดจำทั้งความเป็นไซไฟ และนัวร์ครับ