ต้องบอกก่อนเลยว่า ผมตามรายละเอียดเรื่องไม่ทันจริง ๆ ครับ เป็นหนังสายลับที่เนื้อหาซับซ้อนมาก เพราะดัดแปลงมาจากนิยายที่เขียนโดยอดีต CIA ตัวจริง ว่าด้วยเกมล่อหลอกกันระหว่างสายลับรัสเซียและ CIA โดยทางรัสเซียมีเป้าหมายต้องการสืบหาหนอนบ่อนไส้ของฝั่งตนที่เป็นสายส่งข่าวให้กับ CIA หนังเต็มไปด้วยสายลับทั้ง 2 ฝ่ายมากหน้าหลายตา และเกมลวงกันที่พาสับสนจนตามไม่ทัน บนเนื้อหาที่ยืดจนรู้สึกว่าหนังยาวเกินไปแล้ว
นิยายต้นฉบับตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2013 เจสัน แมทธิว ผู้ประพันธ์ก็ขายลิขสิทธิ์ให้นำไปสร้างหนังได้ในราคาหลักล้านเหรียญ หนังถูกวางแผนการสร้างตั้งแต่ปีนั้นเลย ผ่านมือผู้กำกับมาแล้วหลายราย ตั้งแต่ ดาร์เรน อโรนอฟสกี้ มาเป็น เดวิด ฟินเชอร์ ที่จะกำกับ รูนี มาร่า ในบทนำ แล้วสุดท้ายก็เป็นฟรานซิส ลอว์เรนซ์ กับ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ในปี 2015 นับเป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 4 ของดาราและผู้กำกับคู่นี้ ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วจากแฟรนไชส์ The Hunger Games
จุดศูนย์กลางของหนังอยู่ที่รัสเซีย ว่าด้วยวีกรรมของ โดมินิกา อีโกโรวา นักบัลเลต์สาวจากคณะบอลชอย ชีวิตเธอพลิกผันตั้งแต่วันที่เกิดอุบัติเหตุระหว่างแสดง ขาหักต้องจบอาชีพนักบัลเลต์ เธอตกที่นั่งลำบากเพราะต้องดูแลแม่ที่ป่วยหนักและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างในครอบครัว พอดีกับ เวนยา อาของโดมินิกา เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจึงยื่นข้อเสนอให้เธอเข้าร่วมงานกับกองทัพ เธอจึงได้รับการเข้าฝึกหลักสูตร “สแปรโรว์” ที่หาใช่โรงเรียนฝึกสายลับอย่างที่เราคุ้นเคยในหนังสายลับหลายเรื่อง สแปร์โรว์ไม่เน้นหนักวิชาการต่อสู้ แต่เน้นทักษะการใช้เสน่ห์การล่อลวงเหยื่อด้วยมารยาและเซ็กส์ ซึ่งโดมินิกาเรียกที่นี่ว่า”โรงฝึกโสเภณี” ซึ่งทั้งหมดนี้ดำเนินอยู่ในองก์แรกของหนัง
เมื่อเข้าสู่องก์ที่ 2 โดมินิกา ก็เริ่มออกปฏิบัติภารกิจในบูดาเปสต์ด้วยการสืบหาว่าสายของCIA ที่ซุกซ่อนอยู่ในกองทัพรัสเซียเป็นใคร เป้าหมายของเธอคือ เนท แนช เจ้าหน้าที่CIA ที่ติดต่อกับสายลับผู้นี้ จากนี้โดมินิกา ต้องทำงานร่วมกับทีมสแปร์โรว์คนอื่น ๆ ตัวละครเพิ่มมาอีกหลายคนทั้งทางฝั่งรัสเซียและCIA ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายนายที่ลงมามีบทบาทสั่งการ เนื้อหาในช่วงนี้ยาวนานและชวนสับสนกับแผนการของทั้ง 2 ฝ่าย ปัญหาของหนังคือวิธีการสืบของโดมินิกาที่ใช้มารยาล่อหลอก Red Sparrow จึงไม่มีฉากแอ็คชั่นอย่างที่คุ้นเคย กระสุนปืนถูกยิงแทบนับครั้งได้ ตัวละครสายบู๊มีเพียงรายเดียวคือ มาโทริน นักฆ่าจากฝั่งรัสเซีย ปรากฏตัวด้วยภาพลักษณ์ที่คัดมาดีดูหน้าตาโรคจิตชวนให้รู้สึกว่าเป็นบุคคลอันตราย และทุกฉากที่มาโทรินโผล่มาก็ช่วยเพิ่มความดุเดือดให้กับหนัง ช่วยดึงสติที่กำลังสลึมสลือให้กลับมาอยู่กับหนังได้บ้าง เพราะช่วงกลางเรื่องอันยาวนานนี่ก็เกือบพาหลับอยู่หลายครั้ง
เจน ลอว์ ดูทุ่มเทมากกับบทนี้ ทั้งการฟิตหุ่นที่เห็นได้ชัดว่าผอมเพรียวขึ้นมาก เพราะเรื่องนี้เธอโชว์ฉากเปลือยอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะแฟน ๆ เจน ลอว์ ไม่ควรพลาดถ้าอยากดูเนื้อหนังสรีระของเธอก็น่าจะพึงพอใจกับเรื่องนี้เลยล่ะ เพื่อบทสายลับรัสเซีย เจนนิเฟอร์ ทำการบ้านดีมาก ฝึกพูดสำเนียงรัสเซีย และฝึกเต้นบัลเลต์ก่อนถ่ายทำถึง 4 เดือน
เป็นหนังอีกเรื่องที่ใช้บริการดารารุ่นใหญ่มากหน้าหลายตา เซียแรนด์ ไฮนด์ส , แมรี่ หลุยส์ ปาร์คเกอร์ , แมทเธียส สโคนอาร์ต รายที่น่าเสียดายคือ ชาร์ล็อต แรมปลิง ยอดฝีมือรุ่นใหญ่ในบท เมทรอน ครูฝึกสแปร์โรว์ ที่เปิดตัวมาดูมีความน่ากลัวลึก ๆ แต่บทเธอก็จบไปในช่วงสั้น ๆ และที่เท่มากคือ เจเรมี ไอออนส์ ในบทนายพล คอร์ชนอย ที่ยังไว้ลายยอดฝีมือรุ่นใหญ่ได้อยู่ ดูมีความน่าเกรงขามและแฝงความลึกลับอยู่ในตัว แสดงพลังให้รู้สึกได้ในทุกฉากที่ปรากฏตัว เป็นดารารุ่นใหญ่ที่อายุมากก็ยังดูเท่อยู่เสมอ ส่วนโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน พระเอกของเรื่องถือว่าเป็นงานเสมอตัวไม่ได้แย่ แล้วก็ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ
สรุปได้ว่า Red Sparrow เป็นหนังสายลับที่ผิดคาดถ้าคิดว่าจะได้เห็นฉากแอ็คชั่นดุเดือด หนังเลือกที่จะเน้นหนักไปกับกลวิธีล่อหลอกของโดมินิกา เล่นกับการคาดเดาของคนดูว่าสุดท้ายเธอจะอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ภาพขอเจน ลอว์ บนจอทั้งสวยและเซ็กซี่สมกับบทบาท แต่เสน่ห์ของเธอก็ไม่สามารถสร้างความดึงดูดให้หนังชวนติดตามได้ แถมยังเต็มไปด้วยความซับซ้อนของเนื้อหา เหมาะอย่างยิ่งที่จะดูจอเล็กเพราะจะย้อนมาเก็บรายละเอียดของหนังและเข้าใจแผนการได้มากขึ้น ส่วนดีที่สุดของหนังคือบทสรุปในช่วงท้าย ที่โดมินิกาเปิดเผยแผนการที่เธอหยอดไว้ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยมาตลอดเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ช่วยกู้สถานการณ์ยืดย้วยกว่า 2 ชั่วโมงของเรื่องได้ นิยายต้นฉบับนั้นมีออกมาต่อเนื่องอีก 2 เล่ม แต่ดูแววแล้วน่าจะหยุดอยู่แค่ภาคแรกเนี่ยแหละ