ผลงานเรื่องล่าของผู้กำกับแอนดรูว์ นิโคล ที่เคยสร้างชื่อมาจากหนังไซไฟอมตะ Gattaca (1997) หลังจากนั้นผู้กำกับแอนดรูว์ ก็ยังคงรักษาแนวทางตัวเองด้วยการกำกับและเขียนบทหนังแนวไซไฟมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่มีเรื่องไหนได้รับการยอมรับเทียบเท่ากับ Gattaca อีกเลย จะมีก็แต่ In Time (2014) ที่ได้รับการพูดถึงมากหน่อยเมื่อตอนเข้าฉาย และนางเอก อแมนดา ซีย์ฟรีด ก็น่าจะสร้างความประทับใจให้กับแอนดรูว์ ไม่น้อย เลยได้กลับมารับบทนำอีกครั้งในเรื่องนี้ และเธอก็ยังคงมาในภาพลักษณ์ใกล้เคียงกับตอนที่เล่น In Time
และก็ต้องยอมรับว่า อแมนดา ในลุคผมดำนี่ดูสวยสะดุดตามาก
Anon ยังคงมาในแนวไซไฟ ที่รอบนี้ดูจินตนาการของแอนดรูว์ ไปไกลมาก ว่าด้วยเรื่องราวในอนาคตอันใกล้ เมื่อสมองและการมองเห็นของประชากรทุกคนถูกฝังคอมพิวเตอร์ชีวิภาพ ซึ่งจะบันทึกทุกกิจกรรมชีวิตลงบนฐานข้อมูลที่ชื่อว่า Ether และตำรวจสามารถเข้าดูฐานข้อมูลความทรงจำของทุกคนในetherได้ เพื่อใช้ในการสืบค้นคลี่คลายคดีอาชญากรรม ไคลฟ์ โอเว็น รับบทเป็นนักสืบ ซาล ฟรีแลนด์ ผู้รับผิดชอบคดีฆาตกรต่อเนื่องและที่สำคัญฆาตกรรายนี้มีความสามารถในการแฮ็คเข้าสมองของเหยื่อให้มองเห็นภาพเดียวกับที่ฆาตกรมองเห็น ฉะนั้นก่อนที่เหยื่อจะตายจึงมองเห็นภาพของตัวเองขณะกำลังจะถูกยิง เและเป็นปัญหาให้กับกรมตำรวจปวดหัวที่ไม่สามารถตามหาร่องรอยของฆาตกรได้ ซาล จึงใช้วิธีปลอมตัวเป็นนักธุรกิจตามหาแฮคเกอร์ผู้มีความสามารถลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลความจำได้ จนเจออานอน แฮคเกอร์สาวลึกลับผู้ไม่มีข้อมูลในฐานข้อมูลประชากร และเป็นผู้ต้องสงสัยว่าน่าจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องรายนั้น
บทของแอนดรูว์ ทำได้ดีในการเกริ่นนำให้คนดูสามารถเข้าใจระบบการทำงานของ Ether ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะฐานข้อมูล ether นี้เปรียบเสมือนหัวใจหลักของเรื่อง ถ้างงตั้งแต่เริ่มก็จะงงต่อไปทั้งเรื่องล่ะ กราฟิคข้อมูลที่ขึ้นมาพร้อมการมองเห็นของสายตามนุษย์ออกแบบได้สวยงามและไม่รก ทุกอย่างล้วนเป็นเส้นสีขาว เรียบง่ายน่ามอง ไอเดียของแอนดรูว์เริ่ดมาก เรื่องการใช้สมองสั่งการผ่านการมองเห็นยังรวมไปถึงการใช้จิตควบคุมโทรศัพท์ ส่งข้อมูลหากันและควบคุมระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งดูโม้มากแต่ก็น่าสนุก หนังมาในโทนเครียดจริงจังทั้งภาพและเนื้อหา ตัวละครทุกตัวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีรอยยิ้มและมุกตลกให้เห็นสักนิด ตัวละครหลักทั้งอานอนและซาลต่างมีอดีตที่เลวร้าย โดยเฉพาะตัวซาลที่เพิ่งเสียลูกชายไป แถมเมียก็ยังทิ้งไปมีสามีใหม่ แอนดรูว์ นิโคล ถ่ายทอดบรรยากาศโลกอนาคตให้ออกมาเป็นโลกที่เหือดแห้งความรัก แม้ฉากเซ็กส์ของซาลและอานอนก็ล้วนทำไปด้วยอารมณ์ใคร่ไม่ได้มีความรักเป็นองค์ประกอบ
หนังเดินหน้าไปด้วยพลอตแนวสืบสวน เมื่อซาลพยายามหาหลักฐานมัดตัว Anon ชื่อสมมติของสาวลึกลับ ที่ยิ่งสืบค้นไปก็ยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น มีคนตายเพิ่มขึ้น ซาลก็พาตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่เมื่อหนังขมวดปมมาถึงฉากไคลแมกซ์ บทหนังก็เหมือนหมดมุก ด้วยการให้คนร้ายเผยตัวเองออกมาเสียดื้อ ๆ แทนที่จะให้ซาลและอานอน สืบหาเจอตัวคนร้าย ซึ่งบทเฉลยก็ไม่ได้ชวนเซอร์ไพรส์เท่าใดนัก แม้จะเป็นหนังไซไฟ ที่ผสมความเป็นหนังสืบสวนแอ็คชั่น แต่ฉากแอ็คชั่นก็มีไม่มาก ทั้งเรื่องมีฉากยิงกันแค่ไม่กี่นัด เลยไม่มีฉากต่อสู้พะบู๊ให้ลุ้นกัน หนังก็เลยขาดความเข้มข้นไปมากพอควร รวมถึงความสามารถของฆาตกรต่อเนื่องที่ปูมาว่าสามารถแฮ็คเข้าสมองของเหยื่อให้เห็นภาพแทนสายตาของฆาตกรและเห็นตัวเองกำลังจะถูกฆ่า ซึ่งน่าจะนำมาใช้ประโยชน์ให้เป็นฉากสยองชวนลุ้นกับชะตากรรมของเหยื่อได้ แต่ก็ไม่มีฉากเหล่านี้ให้เห็น หนังก็เลยขาดเป็นทริลเลอร์และไม่สามารถทำให้คนดูรู้สึกถึงความน่ากลัวของฆาตกรตัวนี้ได้
ไคลฟ์ โอเว็น เล่นได้แบบสบาย ๆ เสมอตัวเพราะบทเจ้าหน้าที่ทางกฏหมาย กับหนังในโลกอนาคตนี่ไคลฟ์เล่นมาหลายเรื่องล่ะ ส่วนอแมนดา ซีย์ฟรีด กว่าจะปรากฏตัวหนังก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว อแมนดา มาด้วยสีหน้าราบเรียบไม่แสดงอารมณ์อะไรมากนัก มีดีที่สวยขึ้นกล้องมากกับลุคผมดำ แล้วกล้องก็โคลสอัปหน้าเธอบ่อยมาก งานภาพเป็นส่วนที่โดดเด่นมากสำหรับ Anon เห็นชัดเจนว่าประณีตตั้งใจตั้งแต่การออกแบบ คุมโทนสี ทั้งเรื่องจะไม่มีสีโทนร้อนให้ได้เห็นเลย สีหลักของเรื่องคือ ขาว เทา ดำ หนังคุมโทนได้ชัดเจนเพราะค่อนเรื่องล้วนถ่ายทำกันภายใน หลาย ๆ ฉากเห็นชัดเจนถึงการวางแผนล่วงหน้า การใช้แสงเงาเป็นเส้นนำสายตาไปที่ตัวละคร คุมองค์ประกอบภาพได้เป๊ะ ทุกอย่างล้วนส่งถึงอารมณ์ของหนังที่เป็นโลกที่ตึงเครียดปราศจากความรัก พอเห็นงานภาพที่โดดเด่นทำให้ต้องย้อนไปดูชื่อผู้กำกับภาพ ก็คือ อาเมียร์ ม็อครี เคยทำงานกับผู้กำกับแอนดรูว์ นิโคล มาหลายเรื่องล่ะ ทั้ง Lord Of War (2005) และ Good Kill (2014)
โดยรวม Anon จึงเป็นได้แค่หนังไซไฟที่พอดูได้เพลิน ๆ มีดีที่ล้ำเรื่องไอเดียเทคโนโลยีความทรงจำ นอกนั้นไม่มีอะไรน่าจดจำนัก และยังไม่ใช่งานอีกเรื่องที่แอนดรูว์ทำออกมาได้ใกล้กับ Gattaca หรือ In Time สุดท้ายหนังจึงได้ไปลงเอยที่ช่อง NETFLIX มีบ้านเราเนี่ยล่ะ ที่ได้เอามาฉายจอใหญ่ให้ดูกัน จบกันสั้น ๆ แค่ 100 นาทีครับ