หนังฟอร์มเล็กย้อนยุค ที่ย้อนไปเล่าเรื่องสงครามตะวันออกกลางในยุค 80s มีจุดขายที่ชื่อ โทนี่ กิลรอย ในฐานะผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะชื่อโทนี่ กิลรอย เป็นมือเขียนบทมือวางระดับต้น ๆ ของฮอลลีวู้ด เขาเป็นเจ้าของบทภาพยนตร์ เจสัน บอร์น ไตรภาคแรก รวมถึง Bourne Legacy ที่เขารับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับด้วย และยังไปเขียนบทให้ Star Wars : Rogue One ด้วย งานถนัดของโทนี่ กิลรอย คือเรื่องราวที่เกี่ยวกับวงการสายลับ แวดวงCIA และกระบวนการสมรู้ร่วมคิดในหน่วยงาน ฉะนั้น Beirut จึงเป็นงานที่ค่อนข้างเข้าทางกับ โทนี่ กิลรอย

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

หนังไปขุดเอา จอน แฮมม์ พระเอกที่เคยมีงานชุกในยุค 2000 ด้วยความที่เป็นพระเอกที่ร่างสูงโปร่ง สูงถึง 188 ซม.ทำให้เขาเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะเป็นเจมส์ บอนด์ ล่าสุดจอนกลับมามีบทเด่นใน Baby Driver แล้วก็ได้กลับมาเป็นพระเอกอีกครั้งในเรื่องนี้ จอน รับบทเป็น เมสัน สไกลส์ อดีตนักการฑูตที่เคยประจำการในเบรุตปี 1972 แต่ก็เกิดโศกนาฏกรรมในครอบครัว ทำให้เขาขอย้ายกลับไปอยู่อเมริกา ผ่านไป 10 ปีสภาวะสงครามในเบรุตยังคงรุนแรง ทำให้ คาล เพื่อนสนิทของจอน โดนจับไปเป็นตัวประกัน จอน ถูกโน้มน้าวให้กลับมาเบรุตอีกครั้งในสถานะผู้เจรจาต่อรองกับกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง เขากลายเป็นผู้กำชะตาชีวิตของเพื่อนและต้องเจอกับเงื่อนงำและพิรุธมากมายในกลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐที่มองเห็นชีวิตของคาลเป็นแค่หมากตัวหนึ่งในเกมการเมือง

หน้าหนังของ Beirut ดูเหมือนเป็นหนังแอ็คชั่นที่ว่าด้วยสงครามตะวันออกกลาง แต่เอาเข้าจริงเนื้อในของหนังกลับเป็นหนังการเมืองที่เล่าเรื่องราวสงครามในเบรุตแบบซีเรียสจริงจัง หนังเต็มไปด้วยตัวละครมากมาย หลายฝั่งหลายฝ่าย เฉพาะแค่ฝั่งของสหรัฐก็มีตัวละครนับสิบแล้ว ในเบรุตยังเป็นพื้นที่พิพาทของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธอีกมากทั้งอิสลามหัวรุนแรง , กลุ่มชาวคริสต์ , แก๊ง PLO และอิสราเอล ที่แต่ละฝ่ายต่างก็ไม่ถูกกันและมีเจตนาข้อเรียกร้องที่ต่างกันไป เป็นหนังที่จำเป็นต้องใช้สมาธิและความจำในการรับชมอย่างสูงถึงจะตามเรื่องราวได้ทันและไม่ตกหล่น ยิ่งช่วงท้ายเมื่อ เมสัน คุ้ยเจอเบื้องหลังของเจ้าหน้าที่ระดับสูงแต่ละคนว่าคนนี้ถือหางฝ่ายนั้น คนนั้นเป็นสายให้ฝ่ายนี้ สมองยิ่งต้องทำงานหนัก หนังเต็มไปด้วยบทสนทนา เรียกว่าคุยกันกว่าค่อนเรื่อง ซับไตเติ้ลขึ้นมาแทบไม่ขาดช่วง เหลือฉากแอ็คชั่นยิงกันอยู่แค่ไม่กี่นาที โดยเฉพาะชั่วโมงแรกของหนังนี่เดินหน้าด้วยบทสนทนาล้วน ๆ มีครึ่งชั่วโมงท้ายนี่แหละ ที่เร่งสปีดขึ้นมาหน่อยมีเหตุการณ์ตื่นเต้น สถานการณ์พลิกผันให้น่าลุ้น ต้องเตือนกันไว้สำหรับคนที่คาดหวังว่าจะได้ดูฉากยิงกันเอามันส์ในเรื่องนี้ว่าไม่ใช่นะครับ

โรซามันด์ ไพค์ ดาราชาวอังกฤษคนสวยที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากตอนรับบทนำใน Gone girl แต่กลับไม่ดังเสียที น่าแปลกที่เธอเพิ่งรับบทนำใน 7Days in Entebbe หนังย้อนยุคที่เกียวพันกับเรื่องความไม่สงบในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเช่นเดียวกัน มาใน Beirut โรซามันด์ รับบทเป็น แซนดี้ คราวเดอร์ เจ้าหน้าที่ของทางสหรัฐ กว่าบทของเธอจะได้ออกมามีบทบาท หนังก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง แล้วก็หายไปอีก ก่อนจะกลับมามีบทบาทจริงจังในช่วงท้าย แม้บทบาทของเธอจะไม่มากนัก แต่ก็ถูกใช้เป็นชื่อขาย มีชื่อแปะเด่นบนโปสเตอร์พร้อมใบหน้าโผล่มาแอบ ๆ อยู่ข้างหลังจอน แฮมม์ ถึงเธอจะมีเวลานาทีบนจอไม่มากนักแต่การได้มีตัวละครนำเพศหญิงบนจอบ้างก็ถือว่าได้ช่วยลดความตึงเครียดให้หนังได้บ้าง กับหนังที่มีแต่ผู้ชายสีหน้าเคร่งเครียดบนจอเต็มไปหมดแบบนี้

Beirut ไม่ใช่หนังขายความบันเทิงที่เอาใจตลาดวงกว้างนัก หนังเปิดตัวในต่างประเทศไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ได้เงินค่าตั๋วไปในระดับจุ๋มจิ๋มมาก ซึ่งไม่พอกับทุนสร้างแน่นอน แต่ในด้านเสียงวิจารณ์หนังได้เสียงตอบรับอย่างดีมาก ได้คะแนนสูงทั้งบน Rottentomatoes และ IMDB ในแง่ที่หนังถ่ายทอดบรรยากาศตึงเครียดของตะวันออกกลางออกมาได้สมจริง ซึ่งก็เห็นได้จริงว่าหนังพิถีพิถันมากในด้านงานภาพที่เน้นสีซีด ๆ ดูเป็นยุค 70s 80s ดี เสื้อผ้าหน้าผมดูใช่มาก ๆ กับยุคนั้น รวมถึงการหาโลเคชั่นที่ดูเป็นเมืองที่อยู่ในช่วงสงครามเต็มไปด้วยซากปรักหักพังและรอยกระสุนตามกำแพง หนังเหมาะมากกับคนที่ชอบหนังการเมือง และถ้ามีพื้นฐานเรื่องสงครามตะวันออกกลางจะตามเรื่องราวหนังได้ทันกว่ามาก เป็นหนังที่ดูจอเล็กก็ไม่ขาดอรรถรสส่วนใดไปเลย และจะสามารถเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในหนังได้ดีกว่าอีกด้วย

 

Play video