เป็นหนังม้ามืดอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดหนังเวลานี้ สำหรับ Backstabbing for Beginners โดยเฉพาะ ธีโอ เจมส์ พระเอกสุดฮอตที่หลายคนติดตราตึงใจความหล่อเท่เสน่ห์ล้นมาจาก Divergent ที่ต้องมาประชันบทบาทกับ เบน คิงสลีย์ รุ่นเก๋าระดับออสการ์ กับพลอตดราม่าทริลเลอร์การเมืองที่สร้างจากเรื่องจริง ซึ่ง ไมเคิล ซูซาน อดีตเจ้าหน้าที่ในองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้เขียนหนังสือสุดอื้อฉาวที่เผยถึงประสบการณ์ทำงานและไฮไลท์สำคัญอย่างการเปิดโปงการคอรัปชันระดับโลกเบื้องหลังโครงการน้ำมันเพื่ออาหาร (Oil for Food) เมื่อครั้งที่สหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีบ้าอำนาจอย่าง จอร์จ บุช ได้สั่งกองทัพทหารอเมริกันบุกโจมตีอิรักยุคผู้นำเผด็จการ ซัดดัม ฮุสเซน เมื่อปี 2003 ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจก็คือ หนังเรื่องนี้ได้ ดาเนียล ไพน์ จากหนังหักเหลี่ยมเฉือนคมอย่าง The Manchurian Candidate และ Fracture มารับหน้าที่เขียนบทด้วย
หนังเรื่องนี้เริ่มจาก ไมเคิล ซัลลิแวน (ธีโอ เจมส์) หนุ่มไฟแรงวัย 24 เพิ่งได้งานเป็นนักการฑูตของสหประชาชาติ ซึ่งภารกิจแรกของเขาคือเป็นผู้ประสานงานโปรเจ็กต์โปรแกรม Oil for Food โดยตัวเขาถูกส่งไปทำงานที่อิรักช่วงหลังสงคราม ซึ่งทำให้เขาได้รู้ถึงเบื้องลึกของเหตุการณ์สงครามครั้งนี้ ที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เองก็จ้องจะยึดคลังน้ำมันของอิรัก สะท้อนไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เขาทำงานด้วย ล้วนแต่หิวกระหายและเต็มไปด้วยการทุจริตภายใต้หน้ากากขององค์กรที่ถูกสร้างภาพมาอย่างดูดีและน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันเขาก็มีนักการฑูตรุ่นใหญ่ที่มาเป็นพี่เลี้ยงอย่าง ปาชา (เบน คิงสลีย์) ที่คอยให้คำแนะนำไมเคิล ด้วยความรู้สึกไม่ถูกต้องในสายตาของคนรุ่นใหม่ที่ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ ทำให้ไมเคิล คิดจะหาวิธีเปิดโปงคนเหล่านี้ แต่การทำอย่างนั้นก็ทำให้ชีวิตตัวเขาเองและเจ้านายอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยไปแล้ว
Backstabbing for Beginners เดินเรื่องแบบไม่เร่งรีบ พยายามปูแบ็คกราวน์ให้เห็นนิสัยใจคอของ ไมเคิล และ ปาชา ชี้ให้เห็นความแตกต่างของนักการฑูตมือเก๋ากับมือระดับ Rookie ที่มีทั้งความเป็นมิตรในแบบผู้ใหญ่สอนเด็ก และมีเคมีของการแอบก่อสงครามเย็นระหว่างกันอยู่เนือง ๆ ยิ่งดูไปก็ยิ่งนึกถึงหนังอย่าง ฉลาดเกมโกง หรือว่า Internal Affair อะไรเทือก ๆ นั้่น เพียงแต่ Backstabbing for Beginners จะเล่าในมุมวิชาการมากกว่า เข้าใจได้ว่าสงครามอิรักเมื่อปี 2003 นั้นคนดูส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในประเด็นการเมืองมากนัก ซึ่งมันเลยดูเนือยไปหน่อย แนะนำเลยว่าหนังเรื่องนี้ต้องใช้สมาธิในการดูสูงกว่าปกติในการปะติดปะต่อ ทำความเข้าใจ แนะนำที่สองก็คือ ถ้าเป็นไปได้ ลองไปศึกษาปูมหลังเหตุการณ์สงครามอิรักในปี 2003 ก็จะยิ่งดูสนุกมากขึ้นเป็นกอง
การเชือดเฉือนด้วยไหวพริบ คำพูดของ ไมเคิล และ ปาชา คือไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้อย่างแท้จริง สอดแทรกด้วยบทบาทของ นาซิม (เบลซิม บิลจิน) ล่ามสาวสวยที่จะมาเพิ่มสีสันให้กับหนังเรื่องนี้ ซึ่งเคมีระหว่างเธอกับ ธีโอ นั้นลงตัวมาก ๆ เลย เป็นอีกคนที่ยิ่งดูก็ยิ่งมีเสน่ห์ในแบบฉบับของ working woman ปนแววตาและเรือนร่างสุดเซ็กซี่ สำหรับลุงเบนเองก็หายห่วงกับบทบาทนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงของตัวละครนี้คล้ายกับนักการเมืองมาก ๆ เป็นตัวละครที่กลมและหลากหลายมิติ เรียกว่าเป็นคนที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูลึก ดูอันเดอร์เรทกว่าที่คิดเลยก็ว่าได้ ส่วนหนุ่มธีโอ นั้นพลิกมาเล่นในบทบาทของหนุ่มเก็บกดได้ดี แววตาของเขาแสดงให้เห็นเลยว่ากำลังแบกความรู้สึกที่หนังอึ้งสำหรับหนุ่มไร้ประสบการณ์ในงานระดับชาติ แบบว่าไม่ถึงกับอินโนเซนต์แต่ก็ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ยังไง ซึ่งธีโอบาลานซ์บทบาทตรงนี้ได้ดีเกินคาดเลย แถมเรื่องนี้ก็ยังคงเฉิดฉายในเรื่องความหล่อเท่เสน่ห์ล้นเช่นเดิม
สิ่งที่ล้ำค่าใน Backstabbing for Beginners คือเขียนบทดี ซับซ้อนและมองกันหลายมิติ คือดีกว่าที่คิดไว้มาก ๆ และแน่นอนว่าใครที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วก็ทำให้อยากกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งมันเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ แนวคิดล่าอาณานิคม และอุดมการณ์สีเทา ๆ ของชนชาติที่เรียกตัวเองว่าเป็นดินแดนเสรีภาพเหลือเกิน ถ้าใครเคยบอกว่า ประธานาธิบดี นิกสัน ชั่วช้าที่ส่งกองทัพไปบุกเวียดนามในยุค 80 ดูเรื่องนี้คุณก็อาจจะเข้าใจได้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ค่อยขาดแคลนผู้นำสายเผด็จการอยู่นานเท่าไหร่