การร่วมมือกันครั้งที่ 3 ของผู้กำกับเจสัน ไรต์แมน และ ไดอาโบล โคดี้ หลังจาก Juno (2007) และ Young Adult (2011) และเป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 2 กับชาลิซ เธียรอน ต่อเนื่องจาก Young Adult ที่ไดอาโบล โคดี้ ยังคงยึดแนวทางเดิมของเธอ หยิบปัญหาในครอบครัวอเมริกันชั้นล่างไปจนถึงชั้นกลางออกมาเล่าได้แบบลงลึก บวกกับฝีมือของเจสัน ไรต์แมน ที่ถนัดนักในการทำหนังเชิงเสียดสีสังคมกลาย ๆ เมื่อไดอาโบล เขียนบท Tully เสร็จคนแรกที่เขาคิดถึงก็คือเจสัน ไรต์แมน และเมื่อมันเป็นการร่วมมือกันครั้งที่ 3 แล้วจึงดูเข้าขากันมากยิ่งขึ้น
ชาลิซ เธียรอน มารับบทเป็น มาร์โล คุณแม่ลูก 3 และเหตุการณ์ในหนังคือช่วงที่เธอเพิ่งคลอดลูกคนที่ 3 หนังทำได้ยอดเยี่ยมในการถ่ายทอดภาระหนักหนาของผู้เป็นแม่ โดยเฉพาะแม่อย่างมาร์โล ที่ต้องเจอศึกหนักจากโจนาห์ ลูกคนกลางที่มีปัญหาในการควบคุมสติอารมณ์ตนเอง และโรงเรียนก็บีบบังคับให้ลาออก ซึ่งเหมือนเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดในช่วงที่เธอเพิ่งคลอดลูกมาหมาด ๆ หนังทำได้ดีมากกับการภาระอันหนักหนาของคนเป็นแม่ลูกอ่อน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ต้องตื่นกลางดึกมาให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม ปั๊มนม แล้วต้องตื่นเช้าเพื่อส่งลูกอีก 2 คนไปโรงเรียน ส่วนสามีก็ทำงานหาเลี้้ยงครอบครัวไม่สามารถแบ่งเบาภาระหน้าที่ในบ้านได้ จนเมื่อปัญหารุมเร้าหนักมากมาร์โล จำต้องยอมรับความช่วยเหลือจากพี่ชายที่ร่ำรวยของเธอด้วยการรับข้อเสนอที่พี่ชายจะจ้างพี่เลี้ยงเด็กตอนกลางคืนให้ และเมื่อ ทัลลี่ สาวน้อยน่ารักก้าวเข้ามาในชีวิตของมาร์โล ทุกสิ่งกลับเป็นเหมือนฝัน ทัลลี่ ไม่เพียงแต่เลี้ยงดูหนูน้อยได้อย่างไม่มีที่ติ แต่ยังทำงานบ้านได้สะอาดเอี่ยมอ่อง เป็นเพื่อนคู่คิดให้คำปรึกษาต่าง ๆ นานา ทัลลี่ทำให้ชีวิตของมาร์โลกลับมาสดใสมีชีวิตชีวาอย่างที่เคยไม่ได้รู้สึกมานานมาแล้ว แต่เมื่อทุกอย่างกำลังสดใส ทัลลี่ ก็กลับมาบอกลามาร์โล ว่าเธอต้องจากไปแล้ว
โดยรวมแล้ว Tully เป็นหนังที่เดินหน้าไปด้วยความตึงเครียด กับชีวิตของแม่ลูกอ่อน ที่น่าจะโดนใจคนดูวัยแม่ ๆ ที่ยังอยู่ในสภาวะเช่นนี้หรือเคยผ่านสภาวะเช่นนี้มาแล้ว คนดูเหมือนได้รับรู้ชีวิตของมาร์โลและสารพันปัญหาที่รุมเร้าเข้าใส่เธอ ยากที่ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งจะรับมือไหว โดยเฉพาะฉากที่โจนาห์ระเบิดอารมณ์ ดูแล้วก็เครียดตามยังดีที่หนังไม่ยาวนัก เพียงแค่ 90 นาที ไม่เช่นนั้นคงจะเครียดกันไปมากกว่านี้ ส่วนดีที่สุดของบทภาพยนตร์คือการใส่ลูกเล่นด้วยการหักมุมในช่วงท้ายเรื่อง กับการเฉลยตัวตนของทัลลี่ ที่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งชวนอึ้งเท่าใดนัก แต่ก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้ไม่เวอร์วังเกินไปนัก เพราะเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็คงจะเดากันได้ก่อนแล้ว เพราะว่าการมาถึงของทัลลี่นั้น แวดล้อมไปด้วยเหตุผลสอดคล้อง ทำให้เข้าใจถึงการกระทำต่าง ๆ ของทัลลี่ รวมไปถึงการทำเกินหน้าที่อย่างหนึ่งของเธอที่ชวนอึ้งนักว่าขนาดนี้เลยเหรอ แต่พอถึงจุดเฉลยก็เลย”อ๋อ”
จุดที่น่าชื่นชมที่สุดคือ ชาลิซ เธียรอน ที่กลับมาเล่นหนังโชว์ฝีมือการแสดงให้เห็นอีกครั้ง หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมา ผันตัวไปเป็นสาวบู๊เสียหลายเรื่อง จนบางคนอาจจะลืมไปแล้วว่าเธอนั้นคือดารามากฝีมือระดับ 1 ออสการ์นะ ชาลิซ เล่นแบบทุ่มเทสุด ๆ แม้ว่า Tully จะเป็นหนังฟอร์มเล็ก ไม่ได้หวังตลาดวงกว้างนัก แต่เพื่อความสมจริงของหญิงในช่วงเพิ่งคลอด ชาลิซ ยอมเพิ่มน้ำหนักขึ้นถึง 23 กิโลกรัม ด้วยการเน้นกินแต่อาหารขยะ นม ชีส ตลอดเวลา ในหนังจะเห็นเธอถอดเสื้อโชว์หุ่นเผละ ๆ พุงป่องให้ดูด้วย เป็นการแสดงที่ทุ่มเทอย่างมืออาชีพแบบไม่ห่วงสวยกันเลยจริง ๆ แต่พอหนังปิดกล้อง เธอต้องใช้เวลาถึงปีครึ่งในการเอา 23 กิโลนี้ออกไป , แม็คแคนซี เดวิส มารับบทเป็น ทัลลี่ ได้น่ารักสดใสมาก เธอไม่ใช่สาวสวยแรงจนสะดุดตา แต่ก็มีเสน่ห์น่าประทับใจ หลายคนน่าจะจำเธอได้จากบท “แมเรียต” ใน Blade Runner 2049
Tully เป็นหนังดีที่ไม่เน้นความบันเทิงนัก แต่อัดแน่นด้วยองค์ประกอบคุณภาพทั้งผู้กำกับ เขียนบท และนักแสดงมากฝีมือ ได้เห็นแง่มุมการสู้ชีวิตของครอบครัวระดับล่างในสหรัฐ ฯ ได้เห็นชีวิตของแม่ที่ไม่ว่าจะชาติไหนต่างก็เหนื่อยเหมือนกันหมด แต่สุดท้ายความสุขที่สุดก็คือสถาบันครอบครัว การมีสามีที่แม้ไม่ได้แบ่งเบาแต่ก็เข้าใจ การมีลูกที่เรารักและรักเรา ก็คือความสุขที่สุดของคนเป็นแม่ ดังที่ปรากฏให้เห็นในฉากสุดท้ายของหนัง แม้จะหนักแต่ก็ลงเอยได้ฟีลกู๊ดครับ คนเป็นแม่ไม่ควรพลาด