เป็นอีกหนึ่งสารคดีที่โผล่มาในช่วงถูกที่ถูกเวลารับกระแส eSports ที่ค่อย ๆ กระเทาะเปลือกก้าวข้ามผ่านกำแพงของสังคมซึ่งมองเกมในแง่ลบออกไปได้ทีละน้อย Living the Game สารคดีที่ตามติดชีวิตเหล่าโปรเกมเมอร์เกม Street Fighter ที่ล้วนผ่านสมรภูมิแข่งขันมามากมาย ทั้ง ไดโกะ อุเมะฮาระ, จัสติน หว่อง, เกมเมอร์บี, โมโมจิ และ ลุฟฟี โปรเกมต่อสู้ระดับก็อดและแถวหน้าของวงการ
แน่นอนว่าหากใครที่ไม่ได้ติดตามหรืออยู่ในวงการก็คงไม่รู้จักพวกเขาเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ Living the Game ก็ทำให้คนดูได้รู้จักตัวละครได้อย่างเข้าใจง่าย ซึ่งตัวหนังไม่ได้โฟกัสไปที่เนื้อหาเชิงเทคนิคแบบฮาร์ดคอร์ แต่หยิบยกเอาประเด็นอื่น ๆ อย่างเช่น ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของโปรเกมทั้ง 5 คนนี้มาเชื่อมโยงเข้ากับเกม ได้เห็นว่าเกมมีบทบาทอย่างไรใน 24 ชั่วโมงของคนกลุ่มนี้ ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้เรียบง่ายแต่ดูสนุกน่าติดตามดี และแน่นอนว่ามันเซอร์วิสสำหรับคนดูทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้มีแบ็คกราวน์ในวงการนี้เท่าไหร่ด้วย
สำหรับตัวสารคดีนั้นจะโฟกัสไปที่ ไดโกะ อุเมะฮาระ เทพประจำวงการมากหน่อย ซึ่งในชีวิตจริงเรื่องราวของเขาเองถูกนำไปตีพิมพ์เป็นหนังสือที่ตีแผ่มุมมองความคิด วิธีการฝึกซ้อมที่เขานำมาใช้กับการเล่นเกมอีกหลายเล่มทั้งเวอร์ชันหนังสือการ์ตูนหรือพ็อกเก็ตบุ๊ค ถ้าให้จำกัดความก็คงจะเปรียบหนุ่ม ไดโกะ เป็น รอนนี โอซุลลิแวน หรือ ลีโอเนล เมสซี แห่งวงการเกมต่อสู้เลยก็ว่าได้ ตรงนี้คือดูปุ๊บก็รู้เลยว่าหมอนี่แทบจะเป็นพระเอกในสารคดีเรื่องนี้จริง ๆ
ส่วนตัวชอบเรื่องราวของสองโปรเกมเมอร์ชาวญี่ปุ่นทั้ง ไดโกะ และ โมโมจิ ที่หนังหยิบมุมมองของการเป็นเกมเมอร์กับความมั่นคงในชีวิตมาเน้นเป็นพิเศษ ซึ่งแน่นอนเป็นคำถามที่คนนอกวงการที่มองเข้ามาย่อมอยากรู้เป็นคำตอบแรก ๆ ว่าการเป็นเกมเมอร์มันเลี้ยงตัวได้จริงหรือ มันจะฝากเป็นอนาคต เป็นอาชีพสร้างความมั่นคงได้แค่ไหน แล้วแฟนสาวของโมโมจิ คือตัวแทนมุมมองของคนมีแฟนติดเกม ที่เธอโคตรมีความอดทน กับคำดุด่า กับคำพูดทำร้ายน้ำใจ กับวิถีชีวิตคับแคบของอพาร์ทเมนต์ถูก ๆ ในโตเกียว สารคดีเรื่องนี้ผมประทับใจโมโมจิในวันที่เขาได้เรียนรู้ ได้เปลี่ยนวิธีคิด จากตัวเองมาแคร์คนรอบข้างมากขึ้น โมโมจิ โชคดีแค่ไหนที่เมื่อรู้สึกตัว คิดได้และหันไป เขาจะยังมีแฟนสาวคนนี้เชื่อมั่นในตัวเขาอยู่ ข้าง ๆ ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน
ความสำเร็จของไดโกะ สำคัญที่วิธีคิด ผมติดใจกับคำพูดของนักวิจารณ์เกมที่ดูเขามาแล้วบอกว่า ไดโกะ เป็นโปรเกมที่ ‘ไม่มีรูปแบบ’ เขาทดลองอะไรใหม่ ๆ ไปเรื่อย ผลงานอาจไม่นิ่ง แต่จะกลัวอะไรในเมื่อไดโกะเชื่อมั่นในความเทพของตัวเอง (คำพูดนี้ทำให้ไดโกะหล่อขึ้นอีก 200%-ฮา) แต่ที่ชอบและเป็นไฮไลต์ก็คือการหยิบเอาการแข่ง EVO 2004 ในตำนานของไดโกะกับ จัสติน หว่อง นั่นแหละที่การแข่งครั้งนั้นทำให้ ไดโกะ เป็นตำนานของวงการ และที่สำคัญคือหนังเล่าให้คนนอกได้อินและทึ่งกับเหตุการณ์ครั้งนี้ให้รู้สึกตื่นเต้นด้วยเช่นกัน
Living the Game อาจไม่ได้เป็นสารคดีที่เล่าได้ฉีกจากสไตล์เดิม ๆ ของสารคดีประเภทนี้ หรือว่าเจาะลึกในเชิงเทคนิคขนาดเอาใจคอเกมมากขนาดระดับมาสเตอร์พีชอะไร แต่อย่างน้อยมันก็เป็นสารคดีสร้างแรงบันดาลใจให้เราอยากลุกมาหยิบจอยแล้วกลับมาสนุกกับการเล่นเกมเหมือนสมัยเป็นเด็กอีกครั้ง