[รีวิว]Sicario: Day of the Soldado : กลายเป็นหนังแอ็คชั่นสาดกระสุนไปแล้ว
Our score
7.4

sicario : day of soldado

จุดเด่น

  1. ฉากแอ็คชั่นมันส์หยด ยิงกันสะใจ ระเบิดตูมตาม
  2. ได้ดูการประชันกันของ 2 ดาราแถวหน้าสายแอ็คชั่น จอช โบรลิน และ เบนิซิโอ เดลโตโร
  3. หนังเดินเรื่องเร็ว เนื้อหาการเมืองแต่ก็เข้าใจง่าย
  4. ฉากลุ้นระทึกตื่นเต้นมาเต็ม

จุดสังเกต

  1. ผิดแนวไปจากภาคแรกพอควร คนที่ชื่นชอบลายเซ็นของเดนนิสอาจผิดหวัง
  2. ฉากรุนแรงเยอะ ยิงกบาล โหดเลือดสาด
  3. เสียดายความสุขุมลึกลับของอเลฮานโดร
  • คุณภาพงานสร้าง

    8.0

  • เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    7.0

  • ความแปลกใหม่

    5.0

  • ความสนุก

    8.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    9.0

สนับสนุนเนื้อหาโดย

มาถึงภาค 2 ของหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ ที่เล่าบรรยากาศระอุระหว่างเจ้าพ่อค้ายาเม็กซิโกและกองกำลังของอเมริกาบนชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ รอบนี้เดนนิส วิลล์เลอเนิฟ ผู้กำกับมือดีที่อยู่ในช่วงขาขึ้นไม่สามารถกลับมากำกับภาคต่อได้ เพราะต้องกำกับ Arrival และต่อด้วย Blade Runner 2049 และเจ้าของหนังก็ไม่รอด้วย เลยส่งไม้ต่อให้ สเตฟาโน ซอลลิมา ผู้กำกับหน้าใหม่ในฮอลลีวู้ด แต่เป็นมือเก๋าจากอิตาลี แต่เจ้าของเรื่องก็ยังคงเป็น เทย์เลอร์ เชอริแดน ที่ถนัดมากกับการเล่าเรื่องราวอาชญากรรมระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะเท็กซัส และรอบนี้ก็กล้าที่จะเล่าความร้ายกาจของกลาโหมอเมริกันที่ใช้แม้กระทั่งวิธีสกปรกในการขจัดปัญหาแมงเม่าแมงหวี่กวนใจตามชายแดน ดูเผิน ๆ แล้วเหมือนว่าอาชญากรเม็กซิกันเป็นตัวร้ายของเรื่อง แต่ถ้าสังเกตแล้วตัวร้ายจริง ๆ ของเรื่องก็คือกลาโหมอเมริกานี่แหละที่สั่งการมาจากเบื้องบนโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม โดยที่ตัวเองอยู่ในภาพพจน์ที่ขาวสะอาดอยู่เสมอแล้วให้เหล่าทหารรับจ้างทำงานมือเปื้อนเลือดแทน

เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับสเตฟาโน พยายามที่จะสานต่อบรรยากาศและอารมณ์หนังให้ครึ้ม หม่น ตามสไตล์ที่วิลล์เลอเนิฟวางไว้ในภาคแรก ซึ่งถ้ามองเผิน ๆ ก็อาจจะกลมกลืน แต่ถ้าเปรียบกันชัด ๆ แล้ว Sicario: Day of the Soldado น่าจะถูกใจคนดูในตลาดวงกว้าง โดยเฉพาะคอแอ็คชั่นมากกว่าภาคแรก โดยเนื้อหาที่เน้นแอ็คชั่นในแบบโฉ่งฉ่าง ฉากรบจัดหนักและมาถี่ สาดกระสุนว่อน ระเบิดตูมตาม จ่อกบาลยิงกันเลือดท่วมจอ แต่ถ้าคนดูที่ชื่นชมในสไตล์กำกับของวิลเลอเนิฟในภาคแรกอาจจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง อาจจะด้วยสไตล์กำกับที่แตกต่างกัน และด้วยเนื้อหาของหนังที่ไปกันคนละทิศทางกับภาคแรก ที่มีเอมิลี่ บลันต์ เป็นตัวละครนำและทำหน้าที่แทนสายตาคนดูพาเราไปรู้จักโลกอันโหดร้ายบนชายแดนเม็กซิโกที่อยู่ใต้เงามืดของเจ้าพ่อค้ายา

พอมาถึงภาคนี้ เอมิลี่ บลันต์ ไม่กลับมา ก็เหลือแต่เพียง จอช โบรลิน ในบท แมตต์ เกรเวอร์ ทหารรับจ้างมากประสบการณ์ แล้วก็ดันบทอเลฮานโดรของ เบนิซิโอ เดลโตโร ให้ขึ้นมาเป็นบทเด่นเคียงคู่กับแมตต์ เกรเวอร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวละครเก่าจากภาคแรก ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวละครกันอีกต่อไป มาถึงก็เดินหน้าได้เลย หนังวางเรื่องให้แมตต์ รับงานใหม่จากกลาโหมอเมริกันให้ปิดฉากแก๊งค้ายาเม็กซิกัน ที่นับวันจะเพิ่มปัญหาให้กับชายแดนเท็กซัส เป็นการทำงานใต้ดินที่รัฐบาลไม่ขอออกหน้า แมตต์จึงต้องใช้ทีมทหารรับจ้างล้วน ๆ ด้วยการวางแผนจับตัว อิซาเบล เรเยส ลูกสาววัย 16 ของคาร์ลอส เรเยส เจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ และอ้างตัวว่าเป็นแก๊งตรงกันข้าม เพื่อเสี้ยมให้ 2 แก๊งตีกันเอง

แล้วเรื่องราวจากนั้นก็กลายเป็นปมเคร่งเครียดอย่างที่เราเห็นในตัวอย่างหนัง เมื่อรัฐบาลสั่งให้ฆ่าปิดปาก อิซาเบล เรเยส แต่เธออยู่ในการคุ้มครองของอเลฮานโดร ที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งรัฐบาล เป็นผลให้ แมตต์ จำต้องจัดทีมที่เหลือตามเก็บทั้งอเลฮานโดร และ อิซาเบล เสีย จากนี้ค่อยไปตามดูกันนะว่าศึกระหว่าง 2 ทหารรับจ้างผู้คร่ำหวอดจะลงเอยอย่างไร

สิ่งที่ขาดหายไปคือเสน่ห์ในลายเซ็นของเดนนิส วิลล์เลอเนิฟ ที่แม้จะไปแบบช้า ๆ หม่น ๆ ครอบคลุมไปด้วยบรรยากาศลึกลับหนัก ๆ แต่ก็ยังถ่ายทอดให้เห็นความโหดดิบของโลกอาชญากรเม็กซิกัน สิ่งที่ทดแทนมาในภาคนี้คืองานแอ็คชั่นที่อัดมาแน่นในสเกลที่ใหญ่ขึ้น กระสุดสาดกันว่อน จรวดอาร์พีจี ระเบิดมือ และเครื่องแบล็คฮอว์คที่เป็นพระเอกในหลายฉาก กลายเป็นหนังแอ็คชั่นบนสนามรบที่ทำได้ดุ มันส์ และเข้าใจง่ายกว่างานในแบบของวิลล์เลอเนิฟแน่นอน แล้วก็ตรงคอนเซ็ปต์กับชื่อของภาคนี้ Day Of Soldado ที่แปลว่า “วันของทหารหาญ” ก็เลยเน้นปฏิบัติการของทหารเป็นหลัก ไม่เห็นเงาของเจ้าพ่อค้ายาเลย แต่เส้นเรื่องที่เดินขนานกันไปในภาคนี้คือ ขบวนลักลอบการพาคนเม็กซิกันเข้าอเมริกา ที่เล่าสลับกันไปตลอดเรื่องและเส้นเรื่องมาบรรจบกันท้ายเรื่องกลายเป็นไคลแมกซ์ที่ตึงเครียด

แม้หลาย ๆ ฉากเราเห็นกันมาแล้วในตัวอย่างหนัง แต่พออยู่ในหนังจริงก็ทำได้ชวนลุ้นระทึกดี โดยเฉพาะฉากขบวนรถหุ้มเกราะทำหน้าที่ขนย้ายอิซาเบล เรเยส เข้าสู่เม็กซิโก ต้องระแวดระวังแก๊งตรงข้ามมาชิงตัว เป็นฉากยาวที่ดูไปก็ต้องลุ้นไปว่าจะโดนโจมตีหรือไม่ตอนไหน ดนตรีประกอบฝีมือของ Hildur Guðnadóttir (ขอไม่เขียนชื่อไทยนะ อ่านยากมาก) ก็ช่วยได้มาก กับการปูอารมณ์เข้าแต่ละช่วงฉากแอ็คชั่น ฮิลเดอร์ เป็นนักทำดนตรีประกอบมือใหม่เลื่อนขั้นมาจากทีมทำดนตรีที่เคยทำงานให้กับผลงานทุกเรื่องก่อนหน้าของ เดนนิส วิลล์เลอเนิฟ

จุดหนึ่งที่เสียดายพอสมควรคือตัวตนของอเลฮานโดร ในภาคแรกวางตัวอเลฮานโดรไว้เป็นมนุษย์ที่ลึกลับน่ากลัว พูดน้อย ดูไม่เป็นมิตรและมีอดีตที่มืดมน พอมาภาคนี้บทของอเลฮานโดร จำเป็นต้องกลายมาตัวละครนำ ความลึกลับน่ากลัวเลือนหายไปสิ้น กลายเป็นอเลฮานโดรที่พูดมากขึ้น เฟรนด์ลี่ขึ้น ได้เห็นด้านอ่อนโยนของเขา เริ่มมีการเปิดเผยอดีตของเขามากขึ้น เพื่อปูถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญของเขาที่เลือกจะปกป้องอิซาเบล เรเยส

อีกฉากที่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นคือ การพบกันของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ แมตต์ มาชักชวน อเลฮานโดร ให้เข้าร่วมปฏิบัติการนี้ ด้วยการแอบเข้าไปในห้องของอเลฮานโดร แล้วก็นั่งรออยู่ในมุมมืด ๆ เมื่อเจ้าของบ้านกลับมา ด้วยทักษะของทหารทำให้รู้ว่ามีคนบุกเข้าบ้าน ก็ถือปืนสอดส่องตามหา แล้วก็จ๊ะเอ๋ว่าเป็นเพื่อนเก่ามาหา ไม่คิดว่าเราจะยังคงเห็นฉากเชย ๆ แบบนี้ในหนังฮอลลีวู้ดในปี 2018 นะ ชวนให้สงสัยมากว่าทำไมพี่ ๆ เค้าไม่โทรนัดกันนะ แล้วถ้ารายหลังไม่กลับมาบ้าน ผู้มาเยี่ยมไม่ต้องรอเก้อเหรอ

2 ชั่วโมงของหนังเดินหน้าไปอย่างน่าติดตาม มีฉากแอ็คชั่นให้ดูเรื่อย ๆ ไม่เว้นช่วงนาน แต่ฉากไคลแมกซ์ท้ายก็ทำได้ตึงเครียดสุด โหดสุด แล้วก็จบแบบทิ้งปริศนาไว้มากพอควร รอไปเฉลยในภาค 3 ที่หนังเริ่มขั้นตอนการสร้างแล้วอย่างมั่นใจ ไม่รอดูผลลัพธ์ของภาค 2 เลย ดูฟอร์มแล้วหนังน่าจะทำรายได้ดีกว่าภาคแรก แต่ในทางตรงกันข้ามคะแนนจากนักวิจารณ์ก็ออกมาต่ำเตี้ยกว่าภาคแรกแน่นอน เป็นหนังที่ดูเอามันส์ สนุกไปกับหนังได้แม้ไม่เคยดูภาคแรกครับ

 

Play video