Our score
5.4leave no trace
จุดเด่น
- การแสดงอันยอดเยี่ยมของโธมาซิน แม็คเคนซี
- เหมาะสำหรับคนชอบหนังรางวัล ดูงานแสดงเยี่ยม ๆ และตีความหมายของเรื่องราวจากสัญลักษณ์
จุดสังเกต
- ตามสไตล์หนังสายรางวัลที่ไปช้า ๆ ไม่มีวิกฤตปริศนาให้ชวนติดตาม
-
คุณภาพงานสร้าง
6.0
-
เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท
6.0
-
ความแปลกใหม่
5.0
-
ความสนุก
4.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
6.0
หนังสายรางวัลที่ผ่านเวทีประกวดมามากมายจากเทศกาลหนัง และได้เสียงฮือฮาจากเทศกาลซันแดนซ์ หนังมีจุดขายอยู่ที่ชื่อของ เดบร้า การ์นิค ผู้กำกับหญิง ที่เคยมี “Winter’s Bone”เป็นผลงานกล่าวขวัญเมื่อปี 2010 ทำให้เดบร้า ได้ไปไกลถึงขั้นเข้าขิงผู้กำกับยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ และเป็นหนังเรื่องแรกที่ส่งให้ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เป็นที่รู้จัก เดบร้า เว้นช่วงไปถึง 8 ปี จึงได้กลับมากับเรื่องนี้ Leave No Trace ที่เธอเหมารวมหน้าที่กำกับและเขียนบทเองเช่นเคย โดยดัดแปลงมาจากนิยาย “My Abandonment” ของ ปีเตอร์ ร็อค
Leave No Trace เล่าเรื่องของพ่อและลูกสาว วิลล์ และ ทอม ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าสงวน โดยไม่เล่าที่ไปที่มา เปิดฉากมาให้เห็นว่าทั้งคู่ดำเนินชีวิตกันไปแต่ละวันอย่างมีความสุขกับการทำอาหาร เก็บเห็ด ประทังชีวิตกันไปวัน ๆ ใช้เวลาว่างกับการเล่นหมากรุก แต่ก็ยังเตรียมพร้อมกับการหนีและซ่อนตัวถ้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาจับพวกเขา เหตุจากการมาใช้พื้นที่ป่าสงวนมาเป็นที่อยู่อาศัย แล้วไม่นานจากนั้น ทั้งคู่ก็โดนเจ้าหน้าที่ป่าไม้รวบตัวได้จริง ๆ องค์การสังคมสงเคราะห์เข้ามาดูแลวิลล์และทอม ด้วยการหาบ้านให้อยู่เป็นหลักแหล่ง หางานให้ทำ หาโรงเรียนให้ทอม ดูแล้วก็น่าชื่นชมกับสวัสดิการสังคมของอเมริกาเสียจริง แต่วิลล์ก็ไม่พอใจกับการใช้ชีวิตตามระเบียบกฏเกณฑ์สังคม ทั้งที่ชีวิตก็ดูเข้าที่เข้าทางดีแล้ว วิลล์สั่งให้ทอมเก็บข้าวของจำเป็นและออกเดินทางเข้าป่าอีกครั้ง การผจญภัยครั้งนี้ของพ่อลูกจะลงเอยอย่างไร ค่อยไปดูกันเองแล้วกันนะ
หนังได้เสียงตอบรับอย่างดีมากกกก จากนักวิจารณ์ ใน Rottentomatoes ได้สูงถึง 100% เต็ม และ Metacritic ที่ 88 คะแนน หนังมาตามสูตรหนังรางวัลเดินหน้าไปอย่างหนัก ๆ ช้า ๆ ให้คนดูค่อย ๆ ซึมซับความเครียดกดดันของวิลล์ โดยผ่านการแสดงของเขา เพราะตลอดเรื่องวิลล์จะไม่ค่อยพูดหรือแสดงออกถึงความคิดตัดสินใจในการหลีกหนีวิถีสังคมของเขา หนังเผยให้เห็นเพียงข่าวในหนังสือพิมพ์ที่ทอมบังเอิญไปเจอข่าวว่าบรรดาทหารผ่านศึกพากันฆ่าตัวตายมากมายเท่านั้น โดยส่วนตัวการอธิบายเพียงเท่านี้รู้สึกว่าเป็นเหตุผลเบาบางเกินไป กับผลลัพท์ที่ถูกใช้เป็นประเด็นหลักของเรื่อง กับการที่วิลล์เลือกที่จะหันหลังให้สังคมแล้วใช้ชีวิตในป่า
เป็นหนังที่ดูไปแล้วก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างให้รู้สึกขัดใจกับเรื่องราวและความไม่สมจริงของหนัง ที่มองเห็นได้ชัดโดยไม่ได้พยายามจับผิดแต่อย่างใด ทั้งเรื่องความสะอาดของเสื้อผ้าหน้าผมของทั้งวิลล์และทอม ที่ดูสะอาดสะอ้านเกินไปสำหรับคนที่ใช้ชีวิตนอนในเต็นท์มีฝนรั่ว กินกลางดิน ไม่มีห้องน้ำชำระเนื้อตัว หนังไม่ได้อธิบายด้วยว่าทั้งคู่ใช้ชีวิตแบบนี้กันมานานเท่าไหร่แล้ว เลือกเล่าเรื่องแบบดราม่าหนัก ๆ อย่างนี้ เรื่องความสมจริงนี่ต้องมาเป็นอันดับแรก ๆ เลยครับ หนังตอบข้อสงสัยเรื่องรายได้ของพ่อลูก ที่วิลล์เอาใบสั่งยาไปขายให้พวกเร่ร่อนด้วยกัน แล้วใช้เงินจำนวนนี้ไปซื้อข้าวของจำเป็นในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็ยิ่งชวนสงสัยว่าเงินจากพวกเร่ร่อนด้วยกันนี่มันมากพอให้จับจ่ายใช้สอยประทังชีวิตได้เลยเหรอ
จุดที่ขัดใจที่สุดคือการเป็นพ่อที่ไร้น้ำใจของวิลล์ ที่เลือกจะเป็นขบถสังคมโดยไม่สนใจอนาคตของลูกสาวที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น ทอมก็รักพอตามใจพ่ออย่างที่สุด ซึ่งผิดวิสัยกับเด็กสาววัยรุ่นที่น่าจะอยากมีชีวิตสนุกกับเพื่อนในวัยเดียวกัน อยากจะได้แต่งหน้าแต่งตาสวย ๆ ตามวัย ถึงแม้จะได้เข้าเมืองไปเห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ก็กลับไม่รู้สึกอะไร แม้ตอนที่ได้อยู่กับเพื่อนสาวในสถานสงเคราะห์ก็ยังเป็นห่วงเรียกหาแต่พ่อ ในขณะที่ลูกสาวรักและกังวลอยู่เรื่องเดียวว่าจะได้ใช้ชีวิตประสาพ่อลูกกันอีกไหม แต่ในทางตรงกันข้ามวิลล์กลับไม่ได้ใยดีกับชีวิตความเป็นอยู่ของลูกสาวเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งช่วงที่ทอมกำลังจะได้เข้าโรงเรียนแต่วิลล์ก็ยังไม่สนใจใยดีกลับพาลูกตรงเข้าป่าแบบไร้จุดหมายอีกครั้ง ไม่หยุดพักแม้ทอมจะขอร้องว่าปวดล้าเจ็บขาไม่สามารถเดินต่อได้ไหวอีกแล้ว
อย่างที่กล่าว เกือบ 2 ชั่วโมง เราได้เห็นแต่ความเป็นคนหัวขบถอย่างรุนแรงของวิลล์ที่ไม่สนแม้แต่อนาคตของลูก แต่กลับไม่เห็นแรงส่งที่ทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ หรือเดบร้า อาจจะตั้งใจเพิกเฉยเรื่องปูมหลังของวิลล์ด้วยความตั้งใจ และเลือกที่จะซุกซ่อนสัญญะต่าง ๆ ไว้ตามทาง ที่ค่อย ๆ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกรอยแผลในความสัมพันธ์ของพ่อลูก ภาวะที่แสดงให้เห็นว่าทอมเริ่มโตขึ้นทั้งร่างกายและความคิด การรู้สึกยินดีที่ได้รับการยอมรับทั้งจากคนรอบข้างหรือแม้กระทั่งสัตว์อย่างกระต่าย หรือแม้แต่ผึ้งที่ดูอันตรายแต่เธอก็ไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ ล้วนไปส่งผลในฉากสุดท้ายของหนัง
Leave No Trace นับเป็นหนังน้อยเรื่องมาก ๆ ที่ผมดูแล้วไม่รู้สึกคล้อยตามคะแนนจากเว็บใหญ่ แต่จุดที่ประทับใจสุด ๆ คือการแสดงของทั้งพ่อลูกที่แบกรับหนังกันไว้ทั้งเรื่อง โดยเฉพาะ โธมาซิน แม็คเคนซี ดาราวัยรุ่นที่ได้รับนำครั้งแรกในเรื่องนี้ ในเรื่องไม่ได้บอกอายุเธอคาดว่าน่าจะ 13 – 14 แต่ตอนที่แสดงเรื่องนี้เธออายุ 17 ปีแล้ว แต่หน้าตาดูเป็นเด็กน้อยมาก โธมาซิน ฝากการแสดงไว้ยอดเยี่ยมน่าจดจำมาก มีฉากยาก ๆ ให้เธอโชว์ความสามารถหลายครั้ง การแสดงออกทางหน้าตาน้ำเสียง โดยเฉพาะฉากสนทนากับพ่อในท้ายเรื่องนี่กินใจสุด ๆ เบ็น ฟอสเตอร์ ก็ทำได้ดีเช่นกันกับการแสดงที่รู้สึกได้ว่าซ่อนความรู้สึกปวดร้าวลึก ๆ ไว้ภายใน สมองดูครุ่นคิดตลอดเวลา แต่ยังไงก็แล้วแต่นี่คือพ่อที่ใจร้ายมาก ผมดูแล้วรู้สึกเป็นห่วงน้องทอมมากเท่าใด ก็จะยิ่งรู้สึกชังไอ้พ่อใจร้ายคนนี้และเชียร์ให้ทอมพ้น ๆ จากไอ้พ่อคนนี้ซะที ที่ผมขัดใจกับเนื้อหาหนังก็คงเพราะอินกับหนังมากไปละมั้ง
หนังฉายเฉพาะที่โรง เฮาส์ อาร์ซีเอ วันที่ 12 กรกฏาคม นี้เป็นต้นไปครับ