Our score
8.9BURNING มือเพลิง
จุดเด่น
- ใครชอบมูราคามิ นี่คือหนังจากงานเขียนของเขาที่ดีที่สุด
- ตีความถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม เก็บเสน่ห์จากหนังสือไว้ได้ครบ
- นักแสดงเล่นเหมือนไม่ลึกแต่จริงๆสุดยอดมาก แสดงแง่ปมต่างๆอย่างซับซ้อน
- ภาพเหมือนไม่เด่นแต่จริงๆสวยมาก ส่วนเสียงประกอบนี่อย่างเทพ
จุดสังเกต
- หนังเป็นดราม่าฟิล์มนัวร์แบบเกาหลีที่มีรสเฉพาะตัว อาจไม่ต้องรสนิยมทุกคน
- มีสัญญะและนัยยะต้องเก็บและตีความเยอะมาก
- หนังมีทั้งฉากเปลือย ฉากสำเร็จความใคร่ และฉากรุนแรง อาจไม่เหมาะกับเด็ก จริงๆเนื้อหามันก็ต้องใช้พลังสมองและประสบการณ์แบบผู้ใหญ่มากกว่าอยู่แล้วล่ะนะ
- เทียบกับหนังสือ ถือว่าเฉลยทุกอย่างชัด บางคนอาจมองว่าทำลายเสน่ห์ปลายเปิดของหนังสือก็ได้
-
คุณภาพงานสร้าง
9.0
-
เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท
9.5
-
เทียบกับต้นฉบับ
9.5
-
ความน่าติดตาม
8.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
8.5
“ความรัก” ทำให้เรามีความหวัง
แต่บางครั้ง…มันก็บดขยี้เราจนพังพินาศ!
เรื่องย่อ
อีจงซู (ยูอาอิน) ชายหนุ่มผู้ยากไร้ผู้มีอดีตอันซับซ้อนได้ไปพบกับ ชินแฮมี (ชอนจงซอ) หญิงสาวแปลกประหลาดที่กลายเป็นว่าเธอคืออดีตเพื่อนบ้านที่เขาห่างเหินไปนาน ทั้งสองกลับมาสานสัมพันธ์เพราะหญิงสาวอยากให้ชายหนุ่มดูแลแมวที่เธอเลี้ยงไว้ระหว่างที่เธอเดินทางไปต่างประเทศ เวลาผ่านไป ชินแฮมี เดินทางกลับมาเกาหลีและร้องขอให้อีจงชูมารับ แต่ครั้งนี้เธอกลับมาพร้อมกับ เบน (สตีเฟน ยอน) ชายหนุ่มลึกลับผู้ร่ำรวยที่หญิงสาวบอกว่าพบเจอระหว่างการเดินทาง เมื่อตัวละครครบ เรื่องราวของหัวใจ ด้านความหวังและด้านมืดของตัวละครสุดแสนซับซ้อนก็ได้เริ่มขึ้น
ก่อนไปชมหนังเรื่องนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ของมูราคามิหรือยัง เพราะความที่มูราคามิมีผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้นเรื่องยาวมากมาย ด้วยความที่มีผลงานเรื่องแรกตั้งแต่ปี 1979 แล้วยังขยันเขียนมาจนถึงปัจจุบัน เอาแค่เฉพาะรวมเรื่องสั้นก็มีถึง 5 เล่มเข้าไปแล้ว ปัญหานี้แก้ง่าย ๆ ด้วยการแวะร้านหนังสือสักร้านแล้วเปิดอ่านดู ด้วยความที่เรื่องสั้นนี้ความยาวไม่มากนักก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถจบความได้แล้ว แต่ปัญหาถัดมา ก็เช่นเดียวกับเวลาที่อ่านงานของมูราคามิหลาย ๆ ครั้งที่เราจะเพลิดเพลินตากับรสทางภาษาที่แปลกประหลาด ทั้งสำคัญว่าหลายทีเรื่องราวถูกเขียนราวงานแฟนตาซีปลายเปิด ที่เรียกร้องการแสวงหาการขุดคุ้ยด้วยปัญญาและประสบการณ์อันแตกต่างของแต่ละบุคคล กับเรื่องนี้ก็เช่นกัน
ความลำบากใจต่อมาคือ แล้วเราจะดูหนัง หรือตีความเรื่องเล่าของนักเขียน ตลอดจนผู้กำกับที่รับไม้ต่อนี้มาได้ หรือเปล่าหว่า?
Burning มือเพลิง ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อ Barn Burning แปลเป็นไทยในชื่อ มือเพลิง โดย วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุด เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน ผลงานของ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชื่อดังระดับโลกที่ผลงานเคยถูกถ่ายทอดบนจอเงินมาแล้วถึง 11 เรื่อง ผ่านวิสัยทัศน์ของทั้งผู้กำกับญี่ปุ่นเองและต่างชาติ หนังจากนิยายของมูราคามิที่คอหนังคอหนังสือบ้านเราน่าจะคุ้นหูคุ้นตาสุดคงเป็น Norwegian Wood (2010) หนังญี่ปุ่นที่ได้ผู้กำกับชาวเวียดนาม อันห์หงตราน มากุมบังเหียน และสร้างจากนิยายที่ดังที่สุดเรื่องหนึ่งของมูราคามิด้วยนั่นเอง ซึ่งก็มีรสประหลาดตามลักษณะงานเขียนของมูราคามิที่ค่อนข้างเฉพาะตัวอยู่มาก ทำให้หนังจากหนังสือของมูราคามิ มักแปลงสภาพเป็นหนังเฉพาะทางอยู่กลาย ๆ เสมอ
ผลงานเรื่องนี้ ได้ผู้กำกับเกาหลีชื่อดังอย่าง อีชางดง ผู้กำกับระดับบรมครูชาวเกาหลีที่เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจาก Secret Sunshine และ Poetry รวมถึงล่าสุดกับเรื่องนี้ด้วย มาถ่ายทอดแก่นของงานมูราคามิ โดยมีการแสดงอันน่าตื่นตะลึงของ สตีเฟน ยอน จากซีรีส์ Walking Dead มาปะทะกับหนุ่ม ยูอาอิน นักแสดงเกาหลีชื่อดัง รวมถึงขอแนะนำ ชอนจงซอ นักแสดงสาวหน้าใหม่ที่ดังชั่วข้ามคืนจากการร่วมงานกับบรมครูของเกาหลีเรื่องนี้
แค่คน ๆ หนึ่งตรงหน้าก็มีเรื่องราวให้เรียนรู้ไม่สิ้นสุด
หนังเล่าเรื่องผ่าน 3 ตัวละครหลัก ซึ่งแต่ละคนจะเริ่มจากความธรรมดาเหมือนไม่มีอะไร เช่นเดียวกับเวลาที่เราเริ่มรู้จักใครสักคนมันผิวเผินขนาดนั้น เราตัดสินเขาจากรูปลักษณ์ จากงานการ จากบุคลิกท่าทาง แต่เมื่อหนังเดินทางไป เราก็ได้เริ่มรู้แง่มุมบางอย่างของแต่ละตัวละครมากขึ้น ไม่ใช่เพราะตัวละครเติบโตขึ้นหรือเปลี่ยนความคิดไปอย่างที่หนังอื่น ๆ เป็น หากแต่เป็นเช่นมนุษย์ทั่วไปในชีวิตจริงของเรา ที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง แค่ตัวตนภาคที่เลือกแสดงออกและภาคที่เก็บงำ ก็มากมายพอให้เรารู้จักและตื่นตาตื่นใจกับ คนตรงหน้า ว่าแท้จริงมันเป็นคนแบบนี้เองเหรอ
ที่สำคัญหนังทำให้เรารู้สึกเช่นนี้หลายครั้งหลายครา คิดว่าเข้าใจดีแล้วก็มีอะไรให้พบอีกว่ายังมีอะไรมากกว่านั้น มันคือความรู้สึกหลายต่อหลายครั้งที่เราอ่านงานของมูราคามิที่เราจะค่อย ๆ รู้จักตัวละครจริง ๆ ก็ต้องผ่านสถานการณ์และบทสนทนาที่ไม่คิดว่าคนอย่างนี้จะพูดจะทำนั่นล่ะ การดูหนังเรื่องนี้จึงมีแก่นแท้คือการสำรวจตัวตนที่แท้จริงของตัวละคร สำรวจเขาและเรียนรู้ตัวเราไปด้วย ว่าจริง ๆ แล้วก็มีด้านแบบนี้ ด้านที่ปิด ด้านที่เผย แล้วมันส่งผลต่อคนรอบข้างต่อตัวเราอย่างไร ซึ่งไม่เพียงเราที่สำรวจตัวละคร ตัวละครเองก็สำรวจและค่อย ๆ เรียนรู้ตัวละครอื่น ซึ่งตรงนี้คือพลอตที่นำไปสู่จุดปะทุและโศกนาฎกรรมของหัวใจในช่วงครึ่งหลัง
จริงแล้วเนื้อหาของหนัง มือเพลิง นั้นก็ไม่ต่างจากหนังดราม่าความรักของชายหญิงทั่วไปในสากลโลกเลย ในช่วงชีวิตเราพบคนบางคน เราแอบรัก เขาอาจรู้ เขาอาจไม่รู้ เราอาจอยากบอก หรืออยากเก็บงำ การตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับหัวใจของหนุ่มสาวเช่นนี้ จึงนำพาไปได้ทั้งบทสรุปที่แสนสะท้านหัวใจอย่างง่ายดาย เพราะทุกคนบนโลกล้วนเคยผ่านความรู้สึกนี้ และเรียนรู้คำว่า น่าเสียดาย ถ้าตอนนั้น.. มาแล้วทั้งสิ้น
แต่ด้วยกลการเล่าเรื่องที่ฉลาดและเปี่ยมศิลปะในการซ่อนและเผย ทำให้ความสัมพันธ์ของคน 3 คนนี้ไม่ง่ายเลย ที่เราจะเข้าใจในทันที ความสนุกที่ทำให้เราหมกมุ่นดำดิ่งกับเรื่องราวจึงมากมายทวีคูณ ไปพร้อมกับปริศนาของหัวใจที่ทั้งคลี่คลายและตั้งคำถามใหม่อยู่เป็นระยะ
อ่านถึงตรงนี้บางคนอาจตัดสินว่ามันคงเป็นหนังรักชวนเศร้าใจอย่างประสบการณ์ที่ใครบางคนเคยดูมาก่อนหน้า แต่ต้องบอกว่าระดับมูราคามิ และยิ่งได้ อีชางดง กับทีมงานสายเกาหลีที่เข้มข้นทางดราม่าดาร์ก ๆ มาปรุงแต่งด้วยแล้ว ต้องบอกว่าหนังขยายจากเรื่องสั้นไปอีกไกล ในขณะที่งานของมูราคามิทิ้งอารมณ์ค้างไว้ด้วยปริศนาปลายเปิดถึงชะตากรรมของหญิงสาว แต่อีชางดงทำให้ทุกอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นข้อดีคนละอย่าง งานมูราคามิทำให้เราฉงน เหมือนโดนพาไปเกาะสวรรค์แต่ทิ้งให้ลอยค้างอยู่กลางทะเลเดือนมืด เพื่อจะอยู่กับตัวเองและค่อย ๆ คิดเองว่าแท้จริงแล้วเกาะสวรรค์กับกลางน้ำนี้คือสิ่งใด อาจคือสิ่งเดียวกันหรือไม่? และคือสิ่งที่เราเคยผ่านพบในชีวิตเรามาก่อนหรือไม่? แต่สำหรับฉบับหนังของอีชางดง เขาเลือกที่จะเล่าไปจนฟ้าสาง เพื่อให้เห็นทุกอย่างกระจ่างตาว่านำพามาสู่ที่ใด มันอาจไม่เรียกร้องปัญญามากเท่างานเขียน แต่มันตอกลิ่มเข้าหัวใจได้ไวและรุนแรงกว่าอย่างแน่นอน
สิ่งที่ยอดเยี่ยมนอกจากเรื่องเล่าที่ดึงความเป็นมูราคามิมาได้อย่างบริบูรณ์แล้ว ต้องยอมรับว่างานภาพที่เหมือนดูไม่โดดเด่นอะไรมาก กลับสวยงามอย่างประหลาด ทั้งรสแห่งความงามด้านองค์ประกอบ สี แสง มุมกล้อง และรสแห่งสัญญะการตีความที่บางทีสร้างกรอบ บางทีสร้างระยะห่าง เกิดความหมายซ้อนลงไปอธิบายเรื่องราวได้อย่างน่าชื่นชม ที่ไม่ทันรู้สึกถึงมันอาจเพราะเราถูกดึงให้จดจ้องกับตัวละครจนบางทีก็ลืมมองว่างานโปรดักชั่นเองก็ดีงามไม่แพ้กัน เสียงประกอบนั้นทำหน้าที่ได้อย่างสั่นสะเทือน ในฉากหนึ่งที่ตัวละครไล่ตามกันมันสั่นประสาทอย่างที่เรารู้สึกหวาดหวั่นและขอร้องให้เสียงนี้หยุดลงเสียที ในขณะที่ซับไทยเองก็ได้ วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา ผู้แปลเรื่องสั้น มือเพลิง มารับหน้าที่เอง ก็ทำให้ได้รสชาติคุ้นเคยสำหรับคอหนังสือเช่นกัน
สิ่งที่นึกติก็มีอยู่ ระหว่างที่ดูเราหงุดหงิดกับท่าทีของตัวละครของยูอาอิน เราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงล่องลอยและไม่ได้ความได้ขนาดนั้น แต่ถึงจุดหนึ่งความหงุดหงิดก็เป็นความเข้าใจขึ้นมา อ่อ เขามีเหตุที่เป็นแบบนี้นี่เอง เหตุที่บางทีหนังโปรยมาไม่รู้ตัวตั้งแต่แรก แต่เราเพิ่งมาตรึกนึกได้ เมื่อพิจารณาแล้วยิ่งพบว่า หนังสมบูรณ์ในการสร้างตัวละครจนเราไม่อาจติได้เลย
นี่คืองานที่เรารักเรื่องหนึ่งเลย มันเหมือนไม่มีอะไร แต่โคตรมีอะไรให้ค้นหาจับต้อง และเรียกร้องการเข้าใจอย่างสุดซึ้ง มันสอนเราให้กลับมาทำเช่นเดียวกันกับคนที่อยู่รอบตัว คนที่เราอาจให้ความสำคัญน้อยไป คนที่ตัดสินเขาเร็วไป คนที่เราอาจผ่านเลยเขาไปอย่างน่าเสียดาย บางทีถ้าตอนนี้เราให้เวลารู้จักเขามากขึ้น เราอาจตัดเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสียดายในอนาคตไปได้อีกมากทีเดียว
หนังเข้าฉายเฉพาะเครือ เอสเอฟฯ ควรเช็กดูโรงและรอบที่ฉายก่อนออกจากบ้านนะครับ