[รีวิว]ตี๋เหรินเจี๋ย ปริศนาพลิกฟ้า 4 จตุรเทพ : สืบน้อยหน่อย แอ็คชั่นมากหน่อย
Our score
6.8

ตี๋เหรินเจี๋ย ปริศนาพลิกฟ้า 4 จตุรเทพ

จุดเด่น

  1. เดินเรื่องเร็ว ผูกสภานการณ์ได้น่าสนใจ
  2. ตัวละครใหม่ มีสีสันน่าสนใจ
  3. งานฉาก แต่งหน้า เครื่องแต่งกายดูพิถีพิถันตั้งใจ
  4. สเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์มีพัฒนาการน่าชื่นชม

จุดสังเกต

  1. ไม่เน้นเรื่องราวสืบสวนเช่นเคย
  2. คลี่คลายปริศนาไม่ได้อธิบายกระจ่างชัดนัก
  3. เรื่องราวอัดแน่นมากในเวลา 2 ชั่วโมง บางจุดก็โดนทิ้งไปไม่ได้อธิบาย
  • คุณภาพงานสร้าง

    7.5

  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    5.0

  • นักแสดง

    6.0

  • ความสนุก

    8.0

  • คุ้มเวลา ค่าตั๋ว

    7.5

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

แล้วก็สานต่อมาจนเป็นไตรภาค กับวีรกรรมของตี๋เหรินเจี๋ย วีรบุรุษนักสืบแห่งวังหลวงที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์และถูกสร้างสรรค์ออกมาในหลาย ๆ สื่อ รวมถึงการประดิษฐ์เรื่องราวให้เขากลายเป็นนักสืบด้วยเช่นกัน หนังภาคแรก ตี๋เหรินเจี๋ย ดาบทะลุคนไฟ ออกมาในปี 2011 ได้หลิวเต๋อหัวมารับบทตี๋เหรินเจี๋ย และ ฉีเคอะ ผู้กำกับแอ็คชั่นระดับตำนานมารับหน้าที่ หนังประสบความสำเร็จอย่างมาก กวาดเงินทั่วโลกไปถึง 51 ล้าน เว้นช่วงไป 2 ปี ตี๋เหรินเจี๋ย ผจญกับดักเทพมังกร ออกมาในปี 2013 เปลี่ยนให้ เจ้า โย่วถิง มารับบทตี๋เหรินเจี๋ย ในวัยที่หนุ่มขึ้น ฉีเคอะ ยังรับหน้าที่กำกับเช่นเดิม หนังประสบความสำเร็จล้นหลามมากขึ้นไปอีก ทำเงินทั่วโลกไปถึง 98 ล้านเหรียญ แล้วหนังก็ทิ้งห่างถึง 5 ปี จนได้มี ตี๋เหรินเจี๋ย ปริศนาพลิกฟ้า 4 จตุรเทพ ออกมาในปีนี้ เจ้าโย่วถิง และ ฉีเคอะ ก็กลับมารับหน้าที่เดิมกัน

หม่า ซื่อฉุน และ ผู้กำกับฉี เคอะ

แม้จะเว้นช่วงกันนานถึง 5 ปี แต่เนื้อหาของภาคนี้ยังคงสานต่อจากภาคที่แล้ว หลังจากที่ตี๋เหรินเจี๋ย ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือบ้านเมืองได้สำเร็จ จึงได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้ ด้วยการประทานพลองมังกรให้ เป็นพลองอาญาสิทธิ์ที่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดต่อแผ่นดินได้ไม่เว้นแต่เชื้อราชวงศ์ ด้วยอาญาสิทธิ์ระดับนี้  สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับพระนางบูเช็คเทียน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับตี๋เหรินเจี๋ยมาตลอด และคิดว่าการที่ตี๋เหรินเจี๋ยมีพลองมังกรจะมีอำนาจต่อรองกับตนได้ พระนางจึงเรียกใช้อวี้ฉือเจินจิน หัวหน้าองครักษ์ทองคำ ให้หาทางขโมยพลองมังกรคืนมาจากตี๋เหรินเจี๋ย และมอบหมายให้ 5 จอมยุทธพิสดารตามไปช่วยเหลืออวี้ฉือเจิ้นจินปฏิบัติภารกิจนี้ ระหว่างที่ภารกิจชิงพลองดำเนินไปนั้น ก็ยังมีเรื่องราวของพรรคมารวายุจากชมพูทวีป ที่มีความแค้นเคืองกับราชวงศ์ต้าถังมาแต่อดีตกาล ก็หาทางโจมตีราชวังหมายปลงพระชนม์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสีย ตี๋เหรินเจี๋ยจึงต้องรับมือกับศึกทั้ง 2 ทิศทางในคราเดียวกัน

หนังภาคนี้ยาวถึง 2 ชั่วโมง 12 นาที แต่บทภาพยนตร์ก็ไม่ได้ทำให้เวลายาวนานเป็นปัญหา ด้วยการเร่งสปีดตั้งแต่เริ่มเรื่อง หนังดูมีสีสันด้วยการแนะนำ 5 จอมยุทธพิสดารที่เป็นตัวละครใหม่ในภาคนี้ ทั้ง 5 คนได้โชว์ความสามารถที่แตกต่างกันไปให้ฮองเฮาได้ชม และชวนให้หนักใจแทนตี๋เหรินเจี๋ยที่จะต้องรับมือกับจอมยุทธประหลาดทั้ง 5 ด้วยความที่ตี๋เหรินเจี๋ยเป็นนักสืบ บทหนังจึงเปิดโอกาสให้ตี๋เหรินเจี๋ยได้โชว์ความฉลาดทันเกมคู่ต่อสู้อยู่เสมอ แต่เรื่องราวในการสืบสวนก็ดูจะน้อยลงไปมาก แต่เน้นหนักไปกับงานแอ็คชั่นเสียมาก ฉากต่อสู้ก็ออกแบบมาได้สวยงาม รุนแรง มีการออกแบบอาวุธแปลกใหม่หลายชิ้นได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะพลองมังกรที่มีอานุภาพมากมาย บทหนังมีความผสมผสานกันทั้งเรื่องราวสืบสวน หักหลัง สอดแนม สอดแทรกด้วยบทโรแมนติกกุ๊กกิ๊กพองาม และอารมณ์ขันที่สร้างเสียงหัวเราะได้หลายครั้ง บรรยากาศของหนังให้อารมณ์ในแบบหนังจีนกำลังภายในอยู่มาก มีพรรคเทพ พรรคมาร และฉากปริศนาที่เวอร์วัง แต่การคลี่คลายคดีของตี๋เหรินเจี๋ยก็ไม่ได้อธิบายปริศนาพวกนี้ได้กระจ่างชัดนัก

งานสร้างในภาคนี้มองเห็นได้ชัดเจนว่าใช้ทุนสูงขึ้นมาก งานภาพปราสาทราชวังทั้งภายในและภายนอกดูอลังการ เครื่องแต่งกาย การแต่งหน้า ที่ดูเป็นการบ้านหนักหนาสำหรับทีมงานโดยเฉพาะเสื้อผ้าหน้าผมของพระนางบูเช็คเทียน ที่ปรากฏตัวออกมาแต่ละครั้งทรงผมต้องเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง บรรดา 5 จอมยุทธพิสดารก็มีการออกแบบภาพลักษณ์ประหลาด ๆ สมกับเป็นตัวร้าย ที่ชวนให้ได้อารมณ์ของหนังจีนชุดยุคเก่า ที่โดดเด่นมากในภาคนี้คืองานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ดูมีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นหนังที่ทุ่มทุนกับงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์เยอะมาก โดยเฉพาะในฉากไคลแมกซ์ที่เน้นขายงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ล้วน ๆ งานยังดูเวอร์ ๆ ตามสไตล์หนังจีน แต่ดูเนี้ยบไม่หลอกตาเท่าหลายเรื่องก่อนหน้า ตัวคิงคองเผือกออกมาดูสมจริง โคลสอัปใกล้ ๆ ได้ไม่อายฮอลลีวู้ด มีที่ยังด้อยกว่าคือการเคลื่อนไหวที่ยังไม่นุ่มนวลเท่าฮอลลีวู้ด แต่ถือว่าก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด

ภาคนี้มีตัวละครเยอะมาก ทั้งฝ่ายร้ายฝ่ายดี แต่บทหนังก็กระจายสัดส่วนได้ลงตัว  2 ตัวรองอย่าง อวี้เฉอเจิ้นจิน และ ซาถัว ก็ได้มีเวลาบนจอทัดเทียมกัน และหน้าใหม่ในภาคนี้คือ หม่า ซื่อฉุน ในบทแม่นางหลุยเยี่ย ก็ดูน่ารักดี มีแววว่าจะได้เป็นตัวละครสำคัญในภาคต่อไป หลิวเจียหลิง ยังคงยึดครองบทพระนางบูเช็คเทียนไว้ ถ่ายทอดเสน่ห์แบบร้าย ๆ ให้สัมผัสได้เช่นเคย ตัวละครอื่น ๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปพร้อมกับเมคอัปหนา ๆ บนใบหน้าที่ไม่มีใครจำได้ โดยรวมนับว่าเป็นการกลับมาที่สมการรอคอย หลังจากเว้นช่วงไป 5 ปี เป็นภาคที่เน้นขายแอ็คชั่นกันอย่างจริงจัง แล้วก็ได้ผลลัพท์เป็นภาคที่สนุกเข้มข้นที่สุดในไตรภาคแล้ว จริง ๆ น่าจะชื่อว่าภาคพลองมังกรเสียมากกว่า เพราะแทบไม่ได้เกียวอะไรกับ 4 จตุรเทพเอาซะเลย เชื่อว่าหนังน่าจะทำรายได้เอาชนะภาคก่อนหน้าไปได้แน่นอน เพราะถึงตอนนี้หนังก็ทำเงินในจีนไปแล้วถึง 87 ล้านเหรียญ

 

หนังมีโพสต์เครดิตซีนถึง 3 รอบ แต่ไม่ต้องนั่งรอดูตัวหนังสือวิ่งนาน ๆ คือจบแป๊บเดียวแล้วได้ดูเลย เป็นการปูเรื่องราวถึงภาค 4

Play video