Our score
6.6destination wedding : ไปงานแต่งเขา แต่เรารักกัน
จุดเด่น
- เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ได้เห็นคู่ขวัญจากยุค 90s อีกครั้ง
- การแสดงเข้าขากันของทั้งคู่ ลื่นไหล แบกรับหนังไว้กันแค่ 2 คน
- ทั้งคีอานู และ วิโนนา เก่งมากที่จำบทสนทนายาว ๆ แบบนี้ได้
จุดสังเกต
- อึ้งพอสมควรกับแนวหนัง เดินเรื่องด้วยบทสนทนา
- คนที่ไม่คาดว่าจะมาเจอหนังแบบนี้ หลับเอาได้ง่าย ๆ
-
คุณภาพงานสร้าง
6.0
-
เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท
7.0
-
นักแสดง
9.0
-
ความสนุก
5.0
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
6.0
ผิดคาดไปพอสมควร ไม่นึกว่าหนังจะฉีกแนวมาแบบนี้ ตอนได้ดูตัวอย่างก็เข้าใจว่านี่คือโรแมนติกคอมมีดี้ ที่เราจะได้ดูคู่ขวัญจากยุค 90s มาหนุงหนิงกัน แต่สิ่งที่ได้พบคือ Destination Wedding มาในคอนเซ็ปต์เดียวกับ Before Sunrise หนังคลาสสิกของ ริชาร์ด ลิงเคเตอร์ ปี 1995 นั่นคือทั้งเรื่องเราได้เห็น แฟรงค์ และ ลินด์เซย์ คุยกันทั้งเรื่อง สัพเพเหระมากทั้งจิกกัดกันเอง นินทาญาติพี่น้อง เรื่องเซ็กส์ ทัศนคติในเรื่องความรัก บริหารสายตาด้วยการอ่านซับไตเติ้ลที่ขึ้นแบบรัว ๆ มาก หนังมีตัวประกอบอีกมาก แต่จะไม่มีฉากที่ตัวละครอื่นมาสนทนากับแฟรงค์ และ ลินด์เซย์ ให้เห็น
หนังเป็นผลงานกำกับ และ เขียนบท ของวิคเตอร์ เลวิน เห็นชื่อแล้วน่าจะไม่คุ้นหรอก เพราะเขาเป็นผู้อำนวยการสร้างและเขียนบทที่คลุกคลีอยู่กับวงการทีวีซีรีส์ ประสบการณ์ยาวนานมาตั้งแต่ยุค 90s เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจถ้าวิคเตอร์จะเขียนบทสนทนาให้ทั้งคู่คุยกันได้อย่างลื่นไหลออกรส หนังเริ่มเรื่องราวตั้งแต่ แฟรงค์ และ ลินด์เซย์ เจอกันที่สนามบินในประเทศ เมื่อได้เริ่มบทสนากันจึงรู้ว่าทั้งคู่กำลังเดินทางไปงานแต่งของ คีธ และ ลินด์เซย์ ก็คือคู่หมั้นเก่าของคีธที่เลิกรากันไปเมื่อ 6 ปีก่อน ส่วนแฟรงค์ ก็คือพี่ชายของคีธ ซึ่งทั้งคู่ต่างก็รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกัน แต่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ด้วยความที่เหมือนถูกจัดฉากให้มาใกล้ชิดกัน ที่นั่งบนเครื่องบินติดกัน พักห้องติดกัน ที่นั่งในงานติดกัน ทำให้ทั้งคู่ได้คลุกคลีด้วยกันพอสมควรในช่วงเวลา 3 วัน
หนังมาในแนวละครบ้านเรา คือพระ-นาง ต่างไม่ชอบหน้ากันเมื่อแรกเห็น แต่ด้วยความใกล้ชิดกันทำให้ความรู้สึกชิงชังแปรเปลี่ยนเป็นความเสน่หาต่อกัน และลงเอยด้วยความรู้สึกดี ๆ ต่อกันก่อนลาจาก และทิ้งให้คนดูได้ลุ้นว่าทั้งคู่จะสานความสัมพันธ์ต่อกันไหมในช่วงท้าย บทหนังก็พยายามปรับเปลี่ยนทีท่าของทั้งคู่ให้ได้เห็น จากประชดประชันกัน แล้วค่อย ๆ เริ่มเปิดใจเข้าหากัน แปรเปลี่ยนเป็นความพิสวาทต่อกันในระยะเวลาอันสั้น บทสนทนาจากเรื่องราวของคนรอบตัวก็เริ่มกลายมาเป็นเรื่องราวของทั้งคู่เอง เนื้อหาในบทสนทนาแม้จะเต็มไปด้วยความคิดมุมมอง แต่ก็ไม่ได้แทรกปรัชญาหนักหนา แล้วก็ไม่ได้เว้นช่วงให้คนดูได้คิดตาม เพราอีกแพร้บทั้งคู่ก็ลากต่อไปเรื่องใหม่กันอีกแล้ว
แต่ละบทสนทนามากันทีลากยาวถึง 10 – 20 นาที แนวหนังแบบนี้นับว่าเป็นงานที่ท้าทายที่จะสะกดคนดูให้อยู่กับหนังได้จนจบด้วยบทสนทนาล้วน ๆ แม้จะมีมุกสอดแทรกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นฮาแตก แค่ในระดับขำคิกคักเท่านั้น มุกเด็ดที่เรียกเสียงฮาได้มากสุด ก็คือฉากที่ทั้งคู่มีอะไรกันเอาท์ดอร์นั่นล่ะ ก็นับว่าเป็นงานที่พิสูจน์ความสามารถของคีอานู รีฟส์ ที่รู้กันอยู่ว่าพี่แกไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีฝีมือโดดเด่นนัก แต่บทแฟรงค์ก็ไม่ได้ต้องโชว์ดราม่าอะไรนักอยู่แล้ว ก็เลยพอเอาตัวรอดไปได้แต่ก็ถือว่าเก่งที่สามารถจำบทพูดยาววววเหยียดขนาดนี้ได้
คีอานู รีฟส์ ในวัย 54 มากับลุคหนวดเคราครึ้ม ก็ดูหนุ่มกว่าวัยอยู่มาก วิโนนา ไรเดอร์ แม้จะเข้าวัย 47 แต่ก็ยังเห็นภาพลักษณ์ของอดีตนางเอกสาวใสอยู่ชัดเจน เป็นนางเอกได้โดยไม่ขัดเขิน ทั้งคู่ในบทคู่รักก็ดูเข้าขากลมกลืนกันดี อาจจะด้วยเป็นนักแสดงรุ่นเดอะในฮอลลีวู้ดด้วยกัน และผ่านการร่วมงานกันมาแล้วถึง 3 เรื่อง Dracula (1992), A Scanner Darkly (2006) และ The Private Lives of Pippa Lee (2009) พอมาประกบคู่กับก็เลยไม่ต้องคะเขินกัน ก็ต้องเตือนกันว่า Destination Wedding ไม่ใช่หนังโรแมนติก-คอมมีดี้ อย่างที่คุ้นเคยกันนะครับ ไม่ได้มาแนวเอาใจตลาดเลย แม้หนังจะยาวไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้านอนมาไม่พอ ก็วูบเอาได้ง่าย ๆ เหมือนกัน