Our score
8.1the equalizer 2 : มัจจุราชไร้เงา 2
จุดเด่น
- ฉากแอ็คชั่น ดุเดือด โหด สะใจ
- การปูพื้นความสัมพันธ์ตัวละครดี
- ตัวร้ายมากพิษสง ทำให้หนังน่าลุ้นมากขึ้น
- เดนเซลในวัย 64 ถ่ายทอดความเป็นมือสังหารมากประสบการณ์ได้น่าเชื่อถือ
- ดนตรีประกอบที่เร่งเร้าในช่วงท้าย ส่งอารมณ์ไปฉากไคลแมกซ์ได้ดี
จุดสังเกต
- ตัวร้ายเดาได้ตั้งแต่แว่บแรกที่เห็น
-
คุณภาพงานสร้าง
7.5
-
เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท
8.0
-
นักแสดง
9.0
-
ความสนุก
8.0
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
8.0
หนังภาคต่อ ที่เว้นช่วงห่างจากภาคแรกถึง 4 ปี และเป็นหนังภาคต่อเรื่องแรกของเดนเซล วอชิงตัน และเรื่องแรกของผู้กำกับอังตวน ฟุควา เช่นกัน , น่าแปลกที่ว่าหนังภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำรายได้ไป 192 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 55 ล้านเหรียญ มีการพูดคุยถึงโปรเจ็คต์ภาคต่อหลังหนังภาคแรกออกฉายได้ 7 เดือน แต่ก็เงียบหายไปจนกระทั่ง 4 ปีต่อมานี่
รอบนี้โรเบิร์ต แม็คคอล ยังคงใช้ความสามารถของอดีตมือสังหารCIA มาทำหน้าที่ศาลเตี้ย ช่วยผู้คนเคราะห์ร้ายภายใต้ฉากหน้าคนขับอูเบอร์แท็กซี่ หนังปูวีรกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โรเบิร์ตได้ช่วยผู้คน ก่อนที่จะเข้าหัวใจหลักของเรื่องเมื่อ ซูซาน เพื่อนเก่ากลับมาเยี่ยมโรเบิร์ต เธอเป็นเพื่อนหญิงคนสนิทของโรเบิร์ตที่เคยร่วมงานกันตอนอยู่ CIA แล้วไม่นานจากนั้นซูซานก็โดนสังหารโหดในที่พักหลังตามสืบคดีสายลับCIAโดนฆ่าปิดปากในเบลเยี่ยม ทำให้โรเบิร์ต แม็คคอล ต้องตามหามือสังหารเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนสนิท
บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของริชาร์ด เวงค์ มือเก่าที่เขียน The Equalizer ภาคแรก และ Magnificent 7 เวอร์ชั่นเดนเซล วอชิงตันนี่ล่ะ บทของริชาร์ด ปูความมาได้ดี ไม่อัดแอ็คชั่นมากเกิน แต่มาทุกครั้งก็รุนแรง โหด ดุ หนังปู 2 เหตุการณ์เดินหน้าขนานกันไป เรื่องคดีของซูซาน ที่โรเบิร์ต ตามสืบหาตัวคนร้าย และเรื่องไมลส์ วิทเธอเกอร์ เด็กวัยรุ่นผิวสีที่พักอยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกับโรเบิร์ต และเขาคอยดูแลไม่ให้ไมลส์ไปพัวพันกับแก๊งค้ายา และทั้ง 2 ทางก็มาบรรจบกันในตอนท้าย ตัวร้ายในภาคนี้เดากันได้ไม่ยาก เพราะหน้าตาก็ส่อแววตัวร้ายมาตั้งแต่ต้นเรื่องล่ะ แต่หนังก็เจตนาเฉลยเสียตั้งแต่ค่อนเรื่อง เพื่อจะปูเข้าสู่ฉากแอ็คชั่นไคลแมกซ์ที่ลากกันยาวกว่า 30 นาทีท้ายเรื่อง
เดนเซล วอชิงตัน ในวัย 64 ปี ยังคงดูหนุ่มแน่นกว่าวัยมาก เล่นฉากต่อสู้ได้ทะมัดทะแมงและน่าเชื่อถือ แต่คงไม่ลากยาวไปถึง 70 หรอกมั้ง ถ้าจะมีภาค 3 น่าจะต้องรีบแล้วล่ะ ฉากต่อสู้แต่ละครั้งดูโหด เพราะโรเบิร์ตเป็นมือสังหารประเภทถนัดมีดมากกว่าปืน ตลอดเรื่องเขายิงคนร้ายไปแค่นัดเดียว นอกนั้นมือและมีดล้วน แล้วแทงแต่ละทีก็หวาดเสียวมาก ปาดคอ ปาดขา แทงคอ จิกลูกตา โอ้ย สงสารตัวร้ายเลย แม้ The Equalizer จะเป็นหนังแอ็คชั่น แต่เดนเซล ก็ยังรักษามาดของนักแสดง 2 ออสการ์ ให้เห็น ด้วยการสื่อความรู้สึกทางสายตาแทนคำพูดอยู่บ่อยครั้ง กล้องก็โคลสอัปหน้าของโรเบิร์ตสื่อให้คนดูรู้สึกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ โดยไม่ต้องเอ่ยปาก
ตัวร้ายในภาคนี้มีถึง 4 คน แล้วเปิดฉากแนะนำตัวมาแบบโหดมาก ยิงคนอย่างเลือดเย็น ตัวร้ายยิ่งโหดยิ่งเป็นการยกระดับอารมณ์ให้หนังเข้มข้นน่าติดตาม ดูเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับโรเบิร์ต แม็คคอล และเมื่อทั้ง 4 ออกปฏิบัติการก็ได้อารมณ์ลุ้นระทึกแทนเหยื่อ เหมือนดูหนังตื่นเต้นสยองขวัญ หลังจากตัวร้ายเผยตัวหนังก็ใช้สถานการณ์รายรอบปลุกอารมณ์คนดูได้ดี ทั้งลมที่พัดรุนแรงในฉากหลัง ดนตรีประกอบที่เร่งเร้า และการเลือกสถานที่ประลองเป็นหมู่บ้านริมทะเลที่กำลังเผชิญพายุเข้าโจมตี ก็เป็นฉากหลังที่เหมาะกับฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง
หนังเปิดตัวในต่างประเทศไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ทำรายได้ไปแล้ว 146 ล้านเหรียญ กำไรสบายตัวไปแล้ว ดูแววแล้วก็น่าจะสานต่อให้ครบไตรภาคไปก่อนที่เดนเซล วอชิงตันจะเล่นไม่ไหวนะ เพราะการจะหาคนมาเล่นแทนได้เปอร์เฟ็คต์อย่างเดนเซล เป็นการบ้านที่ต้องคิดกันหนักหน่อยล่ะ