เรื่องย่อ
อะไรทำให้คนเราอยู่ด้วยกันมายาวนานถึง 20 ปี โดยยังรักษาไว้ได้ครบทั้งมิตรภาพ อารมณ์ขัน แถมไม่เคยหมดแพชชั่นในการสร้างสรรค์ผลงานดีๆ?
“A Head Full Of Dreams” คือสารคดีที่บันทึก 20 ปี “โคลด์เพลย์” จากวันเริ่มต้นจนถึงวันยิ่งใหญ่ จากฝีมือของ แม็ต ไวต์ครอสส์ ผู้กำกับ Oasis: Supersonic
ใครชื่นชอบหนังอย่าง Oasis: Supersonic คงรู้ถึงทักษะการเล่าเรื่องที่ยาวนานในเวลาจำกัดได้อย่างสุดแสบสุดมันของ แม็ต ไวต์ครอสส์ ได้อย่างดี นี่เป็นอีกผลงานที่ไวต์ครอสส์ ต้องเล่าเรื่องวงดนตรีที่มีแฟนคลับทั่วโลก และนับแต่วันก่อตั้งจนถึงวันนี้ก็ยาวนานกว่า 20 ปีทีเดียว เรื่องราวการต่อสู้บนเส้นทางสายดนตรีของ 4 หนุ่ม คริส มาร์ติน, จอน บัคแลนด์, วิล แชมป์เปียน และ กาย เบอร์รี่แมน ในนามวง Coldplay จากรั้วมหาวิทยาลัยจากเล่นกันในผับ จนกลายเป็นวงระดับโลกที่ขายตั๋วได้หลักล้านใบ จึงต้องผ่านทั้งปมปัญหา การพิสูจน์ความเป็นมิตรแท้ ทั้งกดดัน ความเครียด ทุกข์ สุข หัวเราะ น้ำตา สารพัด
A Head Full Of Dreams Tour (ปี 2015-2017) คือชื่อทัวร์รอบโลกที่ขายบัตรไปกว่า 5.5 ล้านใบ และถูกบันทึกเป็นสถิติโลกว่าเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ขายบัตรทั่วโลกได้สูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 เป็นรองเพียง 360 Degree Tour (ปี 2009-2011) ของวง U2 และ A Bigger Bang Tour (ปี 2006-2007) ของวง The Rolling Stones เท่านั้น และเป็นที่มาของชื่อหนังสารคดีเรื่องนี้ที่เหมือนพามาจุดสูงสุดของวงและพานึกย้อนกลับไปทบทวนระหว่างทางที่ผ่านมาก่อนถึงเวทีสำคัญนี้
และหนึ่งในโมเม้นท์สำคัญสำหรับแฟนชาวไทยคงไม่พ้นการที่มีฉากฟุตเทจของ Coldplay “A Head Full of Dreams” Live in Bangkok ที่มาจัดในวันที่ 7 เมษายน 2017 ปีก่อนร่วมอยู่ในหนังสารคดีปรากฏการณ์ครั้งนี้ด้วย
หนังเล่าย้อนตั้งแต่การพบกันครั้งแรกของผู้กำกับ แม็ต ไวท์ครอสส์ กับเหล่าสมาชิกวงตั้งแต่ยังไม่เป็นโคลด์เพลย์ เมื่อสมัยเรียนที่วิทยาลัยเดียวกันในลอนดอน และจากฟุตเทจที่วงให้ไวท์ครอสส์ถ่ายตั้งแต่ยุคนั้น ก็กลายมาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดงานที่เข้าอกเข้าใจและร่วมเดินทางกับการผจญภัยแสนยิ่งใหญ่ของวงร๊อกระดับโลกในอีก 20 ปีถัดมา ความสนิทของวงกับผู้กำกับก็เป็นอีกจุดแข็งที่ทำให้หนังดูใกล้ชิดมาก ความสนิทนี้เราเห็นได้ตั้งแต่ความกวนทีนของผู้กำกับกับวงในตอนต้นเรื่องเลยทีเดียว
ด้วยสไตล์การเล่าของไวท์ครอสส์แฟนหนังอาจจะต้องหูไวตาไวพอสมควร ตั้งแต่ตอน Oasis: Supersonic แล้ว เพราะมันจะเต็มไปด้วยบทสัมภาษณ์ของสมาชิกวงแต่ละคน รวมถึงผู้จัดการวงและทีมงานคนอื่น ๆ ที่เวียนเข้ามาพูดตลอดเวลา ไปพร้อมกับภาพฟุตเทจต่าง ๆ ซึ่งต้องคอยอ่านบนจอให้ดีว่าขณะนี้คือเสียงของใคร เรียกว่าหนังพูดตลอดเวลาจนสงสัยสารคนทำซับเลยล่ะ เพราะแค่เราอ่านยังอ่านแทบไม่ทันเลยบางช่วง
ด้วยบุคลิกของวงที่เรียบง่าย เปี่ยมมิตรภาพ และอารมณ์ขัน มันจึงเปี่ยมด้วยโมเม้นท์ดี ๆ และสร้างพลังบวกให้เรามากมาย แม้ว่าจะเป็นช่วงที่วงอยู่ในห้วงของความอึดอัดหรือใด ๆ ก็ตาม นี่ถือเป็นข้อดีใหญ่ ๆ ที่หนังจึงไม่ได้เหมาะแค่เพียงแฟนของวงโคลด์เพลย์เท่านั้น คนทั่วไปจะได้รับพลังด้านบวกมามองชีวิตตัวเองอย่างมีกำลังใจเช่นกัน
แน่นอนพอเป็นหนังเกี่ยวกับดนตรีมันจะเต็มไปด้วยเพลงฮิต อย่าง A Head Full of Dreams, Yellow, The Scientist, Everglow, Fix You, A Sky Full of Stars และ Up & Up และท่อนเพลงที่สะท้องห้วงเวลาต่าง ๆ และด้วยงานแปลซับไทยของ พลากร เจ้าเดิมที่แปลงานสารคดีดนตรีและหนังดี ๆ มามากเป็นการันตี เพลงบางเพลงที่คุ้นหูก็กับกระชากอารมณ์ให้เสียน้ำตาได้มากกว่าเคยด้วย
เป็นหนังที่จะทำให้เรารักวงโคลด์เพลย์และดนตรีมากขึ้น
หนังสารคดีนี้ฉายพร้อมกันทั่วโลก 14 พฤศจิกายน วันเดียวในโรงภาพยนตร์ และหากไม่ทันหนังจะเข้าฉายสตีมมิ่งผ่านทาง Amazon Prime ที่อเมริกาในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ด้วยครับ ดีใจแทนแฟน ๆ ที่มีดอกาสได้ชมซับไทยแปลดี ๆ ในโรงไปเมื่อวานด้วยครับ