Our score
5.2ปาฏิหาริย์แก้วนาคราช
จุดเด่น
- ฉากงูมาขู่นางเอกตลกดี
- องก์ 3 มีคติสอนใจเรื่องธรรมะดีมาก
จุดสังเกต
- การแสดงยังละครหลังข่าว (สมัยก่อน) อยู่
- บทจับหลายประเด็นจนไม่มีปมไหนดันขึ้นใหม่
- ไม่รู้ว่าเอาแซ็ค ชุมแพ มาเล่นทำไม
-
ความสมบูรณ์ของงานสร้าง
7.0
-
ความสมเหตุสมผลของบท
4.0
-
การแสดงของนักแสดง
4.0
-
ความแปลกใหม่
6.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
5.0
เมื่อหลงเดินทางผิดทำให้เด็กเรียนดีอย่าง พล (ชัยพล พูพาร์ต) ต้องระหกระเหินออกจากร้อยเอ็ดมาทำงานในกรุงเทพ แต่หลังผจญวิบากกรรมทั้งถูกไล่ออกจากร้านอาหาร ถูกปฏิเสธงานขับแท็กซี่ จนทำให้เขาต้องมาทำอาชีพทุจริตอย่างเด็กส่งยาให้ ‘เจ๊’ จากคำชักชวนของ หนุ่ย (เกียรติกมล ล่าทา) เพื่อนรักจากวัยเด็กที่พาเขาสู่ชีวิตด้านมืด จนกระทั่งความรักจาก ขวัญแก้ว (ชลฤดี อมรลักษณ์) ทำให้เขาอยากเลิก แต่การลงจากหลังเสือเขาต้องแลกด้วยการหนีกรรมต่างๆ จนเจอฤาษีนั่งกรรมฐานที่แนะนำให้เขาออกบวชเพื่อสู้กับเจ้ากรรมนายเวร ทำให้ พล ต้องเลือกระหว่างอยู่กับคนรัก หรือ ออกเดินทางสายบุญ
ผมเองเป็นคนนึงที่ไม่ได้ต่างจากคนดูทั่วไป แรกพบของพวกเรากับหน้าหนังของ ปาฏิหาริย์แก้วนาคราช คงไม่พ้น พญานาค อีกแล้วเหรอ? เรื่องราวบุญบาปอีกแล้วเหรอ? สำทับด้วยโจทย์ยากที่ไม่เคยทำให้เกิดการเล่าเรื่องด้วยภาษา ’ภาพยนตร์’ ได้สำเร็จอย่างแรงบันดาลใจจากชีวประวัติของพระดัง (โดยหนังดัดแปลงจากชีวประวัติของพระอีสานรูปหนึ่ง) ที่หนีไม่พ้นการเทศนากันโต้งๆ ประหนึ่งว่านี่คือ กรอบที่พอต้องทำเกี่ยวกับศาสนาพุทธ การสั่งสอนทุกอย่างต้องออกมาตรงๆ คนเลวต้องได้รับกรรมแบบทันทีทันใด ซึ่งความจริงถือเป็นเจตนาที่น่าชื่นชมนะครับเพียงแต่หากมันถูกบอกเล่าแบบไร้อารมณ์ร่วมและขาดความน่าเชื่อถือพอๆกับละครหลังข่าวเราคงไม่มีเหตุอันควรให้ต้องเสียตังค์ดูหนังในโรงเป็นแน่แท้
และโชคร้ายจริงๆที่หนังก็ดันมาทางละครหลังข่าวชัดเจนซะด้วยตั้งแต่การดำเนินเรื่องที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เดินตามสเตปตั้งแต่ตัว พล ที่เปลี่ยนจากเด็กดีไปในทางหลงผิดที่หนังนำเสนอได้ไม่ต่างจากละครสั้นอย่างฟ้ามีตาช่อง7 หรือจะเป็นการพูดถึงบาปบุญที่สุดแสนจะคลีเช่เห็นมาจนชินตา การกำกับการแสดงแบบที่ตัวละครคิดอะไรรู้สึกอะไรต้อง “แสดงออก” อย่างชัดเจน รวมถึงการพยายามยัดทุกอย่างในหนังเกือบ 2 ชั่วโมงทั้งเรื่องราวเด็กมัธยมใจแตก การติดในวังวนยาเสพย์ติด ความรักต่างชนชั้น การออกบวช การสู้กับมาร ที่พอโฮะทุกพลอตของหนังไทยในยุคบุกเบิกแล้วกลับทำให้ ปาฏิหาริย์ของพญานาคจากแก้วนาคราช ยิ่งหมดความสำคัญลงไปทุกทีแถมปมขัดแย้งในแต่ละเรื่องยังไม่มีปมใดเด่นชัดให้ชวนติดตามเท่าไหร่นัก
มิหนำซ้ำการที่หนังไปตั้งโจทย์สั่งสอนคนดู ตัวละครทุกตัวเลยแบนราบขาดมิติไปเสียหมด จนเราต้องหาความบันเทิงจากความประดักประเดิดของมัน เช่นพอตัวร้ายวางแผนชั่วก็จะไปจับหน้าผู้ร้ายถลึงตาใส่ หรือแสดงอาการหื่นใส่ขวัญแก้วตามแบบฉบับ ‘กูจะยัดเยียดความเป็นผัวให้มึง’ ที่ดูแล้วตลกมากกว่าน่ากลัว แต่ที่ผมรู้สึกว่าบันเทิงมากคือการดูเหตุการณ์ที่ฝืนตรรกะใดๆในโลก ทั้งเหตุที่พลเสียคนคือพ่อแม่ไปด่าว่าพลกลับดึกทั้งที่ไปติวหนังสือจนพลเกิดพุทธปัญญาเสียคนไปกับเพื่อนเลวๆทันที หรือแม้แต่การได้งานของพลที่นอกจากฟลุ๊คเพราะโดนเด็กนั่งดริ๊งค์ลากไปนั่งแล้วผู้จัดการให้ร้องโชว์แขก ซึ่งต่อมา พล ก็ได้ร้องเพลงเดียวกันทุกคืนแบบไม่กลัวแขกหนีอีกต่างหาก หรือกระทั่งการเอานักแสดงชุดเดียวกันมาเล่นเป็นเด็กมัธยมก็กลับให้ภาพเด็กหน้าแก้แพ้เครื่องสำอางเป็นความตลกที่ผู้สร้างไม่ตั้งใจแต่กลับทำให้คนดูบันเทิงได้อย่างคาดไม่ถึง
แต่ก็ใช่ว่าหนังจะไม่มีข้อดีเสียเลย เพราะดีๆชั่วๆในองก์ 3 หนังก็สามารถกล่าวถึงเรื่องการทำบุญทำทานสร้างบารมีได้ลึกซึ้งกินใจอยู่เหมือนกัน จนแอบคิดว่าถ้าหนังเอาศึกระหว่าง พระพล กับ มาร ให้เป็นพลอตหลักและมีภารกิจในการช่วยเหลือคนรอบข้างเป็นการทำทานบารมีให้เป็นรางวัลของพระเอกอาจทำให้ความเป็นแฟนตาซีของมันได้ทำงานดีกว่านี้และหนังอาจดูสนุกแบบที่เราไม่ต้องแอบขำกับฉากดราม่าอย่างที่เป็นอยู่ก็เป็นได้
เอาเป็นว่าต่อไปหากมีใครคิดสร้างหนังที่มีแก่นแกนเป็นเรื่องราวเชิงศาสนาอยากให้ฉีกแนวไปพูดในเชิงเปรียบเปรยหรือเชิงปรัชญาชีวิตมากกว่ามาสอนกันโต้งๆแบบนี้ เพราะเราเชื่อว่าหากได้ทีมงานที่เด่นทั้งทางครีเอทีฟและโปรดักชัน เราน่าจะมีหนังที่อิงแนวคิดศาสนาพุทธดีๆให้ได้ดูกันก็เป็นได้