Our score
7.2life itself : ชีวิตเรื่องเล็ก รักสิเรื่องใหญ่
จุดเด่น
- เล่าเรื่องได้น่าติดตาม
- ผู้กำกับไอเดียล้น ทั้งบททั้งงานภาพ
- นักแสดงยอดเยี่ยมทุกคน
- งานแปลซับไตเติ้ลของจิระนันท์ สวยงามมาก
จุดสังเกต
- อารมณ์หนังกับหน้าหนังน่าจะทำให้คนดูผิดคาด
- เป็นหนังเฉพาะกลุ่ม สำหรับคนดูที่ชอบดราม่าหนัก ๆ
- เป็นแนวหนังที่ไม่จำเป็นต้องดูในโรงภาพยนตร์
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
ความสมเหตุสมผลของบท
8.0
-
ความสนุก
7.0
-
ความแปลกใหม่
8.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
6.0
จากที่ดูตัวอย่างหนังและโปสเตอร์หนังก็ชวนให้เข้าใจว่านี่คือหนังรักที่เล่าเรื่องราวหลายคู่ และมีดาราขายชื่อมาร่วมงานมากมายตามสไตล์ที่เราคุ้นเคยจาก Love Actualy , Newyear’s Eve แต่เอาเข้าจริง Life Itself ถึงแม้จะเป็นหนังรัก แต่เป็นการมองความรักในมุมมองด้านลบ ด้านที่ไม่สดใส บรรยากาศหนังจึงออกมาหม่นมาก เนื้อหารุนแรง เต็มไปด้วยน้ำตาและความตายในแบบที่กระชากจิตใจคนดู
หนังเป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 2 ของ แดน โฟเกิลแมน ต่อจาก Danny Collins เมื่อปี 2015 แดน เป็นมือเขียนบทที่งานชุกคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด เป็นคนที่เขียนงานได้ทั้งสดใสในสไตล์ดิสนีย์อย่าง Cars 2 , Tangled , Bolt และมุมมองชีวิตแบบหม่น ๆ ใน Crazy, Stupid, Love. , Last Vegas หรือใน Danny Collins ผลงานกำกับเรื่องก่อนหน้าของเขา ถ้ามองรวมทำให้เห็นได้ชัดว่าแดน เป็นคนที่มีมุมมองชีวิตแบบเข้าใจสัจธรรมชีวิต ที่มักถ่ายทอดออกมาในผลงานเขียนของเขา อย่างตอนที่เขียน Life Itself แดน ก็กำลังลุ่มหลงกับอัลบั้ม Time Out Of Mind ผลงานเพลงของบ็อบ ดีแลน ศิลปินระดับตำนานที่ออกมาในปี 1997 ซึ่งเป็นอัลบั้มที่บ็อบ เขียนบทเพลงเหล่านี้ในช่วงที่เพิ่งหย่ากับภรรยาคนที่ 2 เนื้อหาในอัลบั้มนี้จึงเป็นมุมมองความรักแบบหม่น ๆ ที่แดน เองก็ซึมซับแล้วถ่ายทอดออกมาในบทภาพยนตร์ Life Itself อย่างโจ่งแจ้ง
แดน แบ่งเรื่องราวของหนังออกเป็น 5 บท ที่แต่ละบทก็จะมีตัวละครหลักเป็นชื่อของบทนั้น แต่ละบทก็จะมีเรื่องราวของความรักที่ลงเอยด้วยความเจ็บช้ำ เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง แล้วก็ส่งผลต่อกับตัวละครหลักในบทต่อไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าด้วยเนื้อหาที่หม่นและหนักมาก แต่แดนก็มีลูกเล่นในการเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ทั้งบทสนทนาการต่อปากต่อคำของตัวละคร การเกริ่นนำเข้าเรื่องด้วยลีลาล่อหลอกคนดูว่าจะเป็นเรื่องราวของใคร การใช้เสียงบรรยายของซามูเอล แอล.แจ๊คสัน ที่เล่าตามสไตล์กวน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ซึ่งแดนเป็นคนไปชักชวนให้ซามูเอล มาร่วมงานเรื่องนี้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงลูกเล่นด้วยเทคนิกพิเศษทางด้านภาพ ที่ตัวละครในเวลาปัจจุบันเล่าเรื่องราวตัวเองในอดีตแล้วก็พาตัวเองไปเดินวนเวียนในฉากย้อนอดีตด้วย การมอร์ฟฟิ่งหน้าตาตัวละครจากเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่แบบไปช้า ๆ แต่เนียนกริ๊บ และที่สำคัญคือเรื่องราวของวิล และ แอ็บบี้ ที่เปิดฉากด้วยอาการย่ำแย่ของวิล จากการจากไปของแอ็บบี้แต่เก็บงำถึงสาเหตุการจากไปของแอ็บบี้ ที่มาเฉลยในแบบชวนช็อคแบบ 2 ชั้น
ก่อนดูได้เห็นคะแนน Rottentomatoes ของหนังที่ต่ำเตี้ยติดดินมาก ก็ทำใจเผื่อไว้ในระดับหนึ่ง แต่กับประสบการณ์ที่ได้ชมเองกลับเป็นหนังที่รู้สึกประทับใจเรื่องหนึ่งเลย ด้วยประสบการณ์ยาวนานของแดน ในฐานะมือเขียนบท จึงมีลีลาการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ทั้งการติดตามบทลงเอยความรักของแต่ละคู่ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่กันคนละซีกโลก ก็ชวนให้ติดตามถึงจุดเชื่อมโยงของแต่ละคน และแต่ละบทของหนัง ล้วนเป็นองค์ประกอบที่จับคนดูให้อยู่กับหนังได้ในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ที่คลอด้วยบทเพลงของบ็อบ ดีแลน ที่เปรียบเสมือนอีกตัวละครหนึ่งของหนัง เพราะบทหนังบรรยายถึงความดีงามของแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้ไว้ค่อนข้างละเอียด ชวนให้ดูจบแล้วต้องหามาฟังกันเลย และอีกจุดสำคัญคือความที่บ็อบ ดีแลน เป็นศิลปินที่ถูกยกย่องในการใช้ภาษาที่สวยงามดั่งบทกวี ทางโซนี่ประเทศไทยก็เยี่ยมมากกับการมอบงานแปลซับไตเติ้ลเรื่องนี้ให้กับ จิระนันท์ พิตรปรีชา ที่แปลเนื้อหาความหมายเพลงออกมาในซับไตเติ้ลได้อย่างสวยงามได้ความหมาย
อีกองค์ประกอบสำคัญของ Life Itself คือเหล่าดารานำที่แม้ไม่ได้เป็นดาราแถวหน้าค่าตัวแพง แต่เป็นกลุ่มกลาง ๆ ที่มีชื่อเสียงที่คอหนังรู้จัก ฝีมือเชื่อถือได้ ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละคนในเรื่องนี้ล้วนเจองานหนัก มีฉากที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ต่อหน้ากล้องกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะออสการ์ ไอแซค ที่มาจากสายหนังรางวัลแต่หลัง ๆ ก็ไปได้ดีกับหนังตลาดทุนสูงอย่าง X-Men: Apocalypse , Star Wars: Episode VII , Episode VII พอได้กลับมารับบทนำเรื่องนี้ก็เหมือนมาตอกย้ำอีกครั้งว่าเขาคือดาราสายเน้นการแสดงแบบจริงจัง คนอื่น ๆ ก็ล้วนทำหน้าที่ได้ดีทั้งที่คุ้นหน้าคุ้นชื่อและบรรดาหน้าใหม่ทั้ง แอนโตนิโอ แบนเดราส , แมนดี้ พาทินคิน , แอนเน็ต เบนนิ่ง และ โอลิเวีย ไวลด์
Life Itself ไม่ใช่หนังรักหวานซึ้งสมหวังนัก แต่เป็นหนังรักที่ใช้มุมมองที่แตกต่างจากที่คุ้นเคย ชี้ให้เรามองความรักด้วยมุมมองที่แตกต่างอย่างเข้าใจ เหมือนอย่างที่ในหนังได้บรรยายความหมายของ Life Itself “ทุกชีวิตเปรียบเสมือนเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าโดยผู้บรรยายที่ไม่สามารถเชื่อถือไว้วางใจได้ และนั่นก็คือ “ชีวิต” เองนั่นแหละ ทีเป็นผู้นำที่ไว้วางใจไม่ได้ ว่าจะนำเราไปในทิศทางใด” หนังมีหลาย ๆ ฉากทีพอจะเรียกน้ำตาได้ ไม่ถึงกับเศร้าจนน้ำตาไหลพรากแต่ถ้าต่อมน้ำตื้นก็พอให้น้ำตารื้นได้อยู่เหมือนกัน เป็นหนังรักที่ให้สาระข้อคิดหนัก ๆ มีดีในตัวพอดู อย่าเพิ่งด่วนตัดสินหนังจากคะแนนเว็บนอกครับ