เรื่องย่อ
ย้อนกลับไปในปี 1987 บัมเบิ้ลบีค้นพบที่หลบภัยอยู่ในพื้นที่เก็บของเก่าในเมืองริมชายหาดเล็ก ๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยที่ ชาร์ลี (เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) สาวที่กำลังจะมีอายุครบ 18 ปี ค้นพบบัมเบี้ลบี ในสภาพรถโฟล์กสวาเกนสีเหลืองที่ผุพัง ผ่านศึกมาหนัก และในไม่ช้า เธอก็รู้ว่าบัมเบิ้ลบีไม่ใช่แค่รถเต่าธรรมดาเลย
ในที่สุด ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับบ้าพลังระเบิดก็สละมือจาก Transformers หนังใหญ่ยักษ์ของฮอลลีวู้ดเสียที แม้จะเป็นเพียงภาคสปินออฟก็ตาม โดยเอาตัวละคร บัมเบิ้ลบี จอมขโมยซีนที่คนดูรักและเอ็นดูเป็นพิเศษมาบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางมาโลกครั้งแรกเมื่อปี 1987 และเปลี่ยนโทนหนังต่างจากเดิมไปพอตัว โดยเน้นเรื่องการปรับตัวแบบก้าวผ่านวัย พร้อมกับสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อนต่างสปีชีส์ ที่สื่อสารกันด้วยภาษากายได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ จะว่าไปนี่มันหนังดิสนีย์สไตล์ Monster Trucks (2016) ชัด ๆ เลยนี่หว่า
หนังเริ่มต้นด้วยไอเดียของ สปีลเบิร์ก ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ของ Transformers มาตลอดในการที่จะหันมาเล่าเรื่องแยกย่อยที่ไม่ต้องไปต่อความกับภาคหลักซึ่งออกทะเลดาวไปไกลเกินเจอยูเทิร์นแล้ว และได้ผู้กำกับคนใหม่มาลองหาแง่มุมใหม่ ๆ ให้หนังอย่าง ทราวิส ไนท์ ผู้กำกับจาก Kubo and the Two Strings (2016)หนังแอนิเมชั่นสต็อปโมชั่นจากค่าย Laika ที่เป็นขวัญใจใครหลาย ๆ คน ซึ่งไนท์ก็เหมาะกับการเติมแต่งเรื่องราวสไตล์เด็กดูแบบนี้เลยล่ะ เพราะหนังสามารถสมดุลระหว่างเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างหุ่นยักษ์ที่ไล่ล่ากันข้ามจักรวาลมาถึงโลก กับเรื่องมิตรภาพระหว่างเด็กสาวที่มีปัญหาทางบ้านอย่าง ชาร์ลี กับ บัมเบิ้ลบี ที่สูญเสียกล่องเสียงและความทรงจำไปจากการต่อสู้ได้อย่างลงตัว
หนังเน้นการเล่าเรื่องที่ง่าย และคอยสอดแทรกที่มาที่ไปที่ไปสอดเสริมกับหนังภาคหลัก อย่างว่าทำไมบัมเบิ้ลบีถึงต้องมาโลก ทำไมไม่สามารถพูดได้ ทำไมถึงชื่อบัมเบิ้ลบี เป็นต้น ทั้งยังเอาใจแฟนพันธุ์แท้จากฉบับแอนิเมชั่นด้วยการได้เห็นร่างของเหล่าหุ่นยักษ์ในฉบับดั้งเดิมอีกหลาย ๆ ตัวด้วย แต่ด้วยท่าทีที่ง่ายและต้องการให้เสพสบายลื่นคอ หนังจึงใช้สูตรการเล่าแบบมาตรฐานมาก ๆ เดาง่ายมาก ๆ ยอมละลายความสมจริงบางอย่างไปบ้างก็ทำ และมีมุกคอยเสริมเรื่องตลอดเวลา ขำบ้าง น่ารักบ้าง และบางอย่างก็ต้องบอกว่าเด็กน้อยเหลือเกิน ที่ดูไม่เข้าใจ พยายามยัดใส่แบบไม่มีเหตุผลก็มีให้เห็นบ้างพอสมควร แต่มุกที่หนังทำได้ดีเลยจนต้องชมคงเป็นการใช้บรรดาเพลงเก่ายุค 80 มาแทนควมคิดของบัมเบิ้ลบีซึ่งฉลาดและมีเสน่ห์มาก
การแสดงของดาราสาวอย่าง เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ ที่เคยเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงออสการ์จากหนัง True Grit (2010) ตั้งแต่ยังเด็ก และมาฉายแสงในหนัง Pitch Perfect 2 และ 3 ในบทที่สาวขึ้นก็สามารถส่องประกาย ยึดสายตาจากผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยม เรียกว่าเธอคือสิ่งที่น่ามองที่สุดบนจอได้เลยล่ะ ไม่ว่าจะบทดราม่าหรือบทตลกก็ทำได้ดีทีเดียว ในขณะที่อีกหนึ่งดาราที่ใครหลายคนเป็นแฟนคลับอย่าง จอห์น ซีน่า นักมวยปล้ำที่เริ่มหันมาเอาดีทางหนังมากขึ้น ก็รับบททหารฝั่งโลกที่มีบทเว่อ ๆ ตลก ๆ อยู่เสมอ แต่ก็พูดกันตามตรง หลายครั้งมันเหมาะกับคนที่เป็นแฟนซีน่ามามากกว่า ใครเพิ่งรู้จักแกคงไม่เก็ตบุคลิกของแกว่าทำไมเล่นล้น ๆ ตลกแปลก ๆ จัง
และในฟากฝั่งของเหล่าหุ่นทั้งหลายต้องยอมรับว่ามีความเนียนและพอดีของซีจีในแบบที่ดูสบายตาสมจริง การแสดงสีหน้าท่าทาของตัวละครซีจีสื่อสารได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะบัมเบิ้ลบีนั้นน่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีคนรักมากที่สุดได้ไม่ยากเย็น ในขณะที่ฝั่งตัวร้ายก็มีความโหดเหี้ยมและใช้เล่ห์เหลี่ยมได้ดี น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ถูกออกแบบมาเป็นหนังสงครามเต็มตัว ทำให้บทที่เหล่าหุ่นจะสู้กันจริงจังมีน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความคาดหวัง
ส่วนที่ดีที่สุดของหนังคงเป็นการพักและมีมุมมองใหม่ ๆ ในการเล่าเรื่อง Transformers บ้างหลังจากระห่ำกันมามากแล้ว แต่ก็เป็นข้อเสียในตัวเพราะหนังมีฉากแอ็กชั่นเบาบางลงไปมากจนแฟนเดิม ๆ หรือผู้ใหญ่ ๆ อาจจะรู้สึกว่าหนังหน่อมแน้มน่าเบื่อ ซึ่งในมุมของแฟนใหม่ ๆ รุ่นเยาว์หรือวัยรุ่นต้น ๆ ตลอดจนคนดูที่ชอบหนังสายครอบครัวสายมิตรภาพน่าจะหันมาเป็นแฟนของเจ้าบัมเบิ้ลบีได้ไม่ยากเย็นเช่นกัน เรียกว่าได้อย่างเสียอย่างแลกกันไปเลย
และสำหรับพากย์ไทยนั้นขออนุญาตวัดความรู้สึกจากการดูหนังซับไทย แล้วมาเทียบกับตัวอย่างฉบับพากย์ไทยนี้ ก็คิดว่าเป็นการตีความอีกแบบของตัวละคร เพราะเฮลีย์จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นเด็กสาวที่ต้องเข้มแข็ง และมีความสู้ผ่านน้ำเสียงมากกว่า แม้ในยามอ่อนแอเราก็รู้สึกว่าเธอจะเข้มแข็งขึ้นได้ ในขณะที่เสียงน้อง ปัญ BNK48 นั้นจะออกมาทางน่ารักน่าสงสารมากกว่า แต่ในแง่คุณภาพเสียงนี่ไม่ต่างจากที่มืออาชีพเขาพากย์ในหนังดิสนีย์เลยล่ะ คิดว่าน่าจะได้คนละอารมณ์ซึ่งก็ไม่อาจชี้วัดได้ว่าแบบไหนดีกว่ากันเพราะหนังก็มีฉากขายในทั้งสองแบบให้เล่นอยู่แล้วด้วย เชื่อว่า 2 เวอร์ชั่นนี้ต่างมีดีของตัวเองทั้งคู่ครับ